วันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

อนามัยสิ่งแวดล้อมบทที่ 13 การประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

แผนการสอน
รายวิชาอนามัยสิ่งแวดล้อมและอาชีวอนามัย
บทที่ 13 เรื่องการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
หัวข้อ
13.1 บทนำ
13.2 หลักการของการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม
13.3 ขั้นตอนการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม
13.4 การบูรณาการการประเมินผลกระทบทางสุขภาพ
13.1 แนวคิดและหลักการ

13.2จำนวนชั่วโมงเรียน   ภาคบรรยาย 2 ชั่วโมง   

13.3 จุดประสงค์การเรียนรู้

เพื่อให้นักศึกษามีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับแมลงที่เป็นเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคในมนุษย์ ยุง แมลงวัน แมลงสาบ หนู การควบคุมและป้องกันโรค

13.4 จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม เมื่อนิสิตเรียนวิชานี้แล้ว นักศึกษามีความรู้ ความสามารถและทักษะ ดังนี้

1. สามารถบอกความหมาย ความสำคัญของการสุขาภิบาลสิ่งขับถ่าย
2. สามารถอธิบายองค์ประกอบที่พิจารณาในการกำจัดสิ่งขับถ่าย
3. สามารถบอกและอธิบายหลักการกำจัดและวิธีการกำจัดสิ่งขับถ่าย 

13.5เนื้อหาสาระ

ภาคบรรยาย

ความหมาย ความสำคัญของเกี่ยวกับแมลง หลักการกำจัดและวิธีการกำจัดแมลงและสัตว์นำโรค

13.6 กิจกรรมการเรียนการสอน

ภาคบรรยาย ทำการสอนในห้องเรียนแบบบรรยาย 4 ชั่วโมง ในหัวข้อที่ 1 - 3

13.7 สื่อการเรียนการสอน

     แผ่นสไลด์บรรยาย (power point)
เอกสารประกอบการสอน
     เอกสารประกอบการสอน ประกอบด้วยรูปภาพและตารางประกอบคำบรรยาย

13.8 การวัดผลและประเมินผล

     สอบข้อเขียนกลางภาค  ปลายภาค สรุปเนื้อหาที่เรียน / ความรู้ที่ได้รับลงสมุดบันทึกท้ายชั่วโมงบรรยาย

บทที่ 13 การประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
หัวข้อ
13.1 บทนำ
13.2 หลักการของการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม
13.3 ขั้นตอนการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม
13.4 การบูรณาการการประเมินผลกระทบทางสุขภาพในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบ สิ่งแวดล้อม
13.1 บทนำ
การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment - EIA) หมายถึงการประเมินผลกระทบจากโครงการพัฒนาที่จะมีต่อสุขภาพหรือความสมบูรณ์ของสิ่งแวดล้อมทั้งทางบวกและทางลบ รวมทั้งความเสี่ยงที่จะมีผลต่อสภาพความสมบูรณ์ของระบบนิเวศและการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นต่อธรรมชาติ ซึ่งบางครั้งอาจนำไปสู่ภัยพิบัติต่อสิ่งแวดล้อมที่ร้ายแรง การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมอาจนิยามได้ว่าเป็น "กระบวนการเพื่อการบ่งชี้ ทำนาย ประเมิน และบรรเทาผลกระทบทางชีวกายภาพ สังคม และผลกระทบที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ที่มีต่อข้อเสนอการพัฒนาใด ๆ ก่อนที่จะมีการตัดสินใจให้ลงมือดำเนินได้"[1] วัตถุประสงค์ของการประเมินก็เพื่อให้เป็นการประกันได้ว่า ผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจได้พิจารณาอย่างรอบคอบถึงผลกระทบของโครงการพัฒนาที่จะมีต่อสิ่งแวดล้อม ก่อนทำการอนุมัติให้ดำเนินโครงการที่มีผู้ขออนุญาตดำเนินการ
ประเทศไทยได้ประกาศใช้กฎหมายสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นทางการฉบับแรก คือ พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2518 ซึ่งได้กำหนดให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติขึ้น มีอำนาจหน้าที่ คือ เสนอนโยบายและความเห็นเกี่ยวกับการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมและให้ความเห็นเกี่ยวกับโครงการ ที่อาจส่งผลเสียหายต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม
ต่อมาได้มีการออกพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2521 ทั้งนี้เนื่องจากพระราชบัญญัติ ฉบับที่ 1 มิได้มีการระบุให้แน่ชัดเกี่ยวกับอำนาจและหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติบางเรื่อง จึงก่อให้เกิดปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินการ ดังนั้น จึงได้มีการแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติ ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2518 โดยได้กำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติให้ชัดเจนและรัดกุมขึ้นกว่าเดิมรวม 3 ประการ คือ
กำหนดให้มีการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับโครงการพัฒนาของรัฐและกิจกรรมบางประเภทของเอกชน
ให้อำนาจในการกำหนดมาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อม ที่มิได้อยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยราชการใด ตลอดจนการกำหนดวิธีการตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม
ดำเนินการในด้านการจัดการเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมในกรณีที่ฉุกเฉิน
สำหรับกฎหมายที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ สำนักงานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติสามารถเสนอแนะให้มีการปรับปรุงแก้ไขเพื่อเอื้ออำนวยต่อการบริหารสิ่งแวดล้อม และแก้ไขอุปสรรคและข้อขัดข้องในทางปฏิบัติได้ ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2524 สำนักงานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ได้กำหนดให้มีการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการ หรือกิจการบางประเภทและบางขนาด โดยอาศัยอำนาจตามประกาศกฎกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและการพลังงานซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2524 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้มีการศึกษาเกี่ยวกับทรัพยากรสิ่งแวดล้อมและคุณค่าต่าง ๆ ที่มีต่อมนุษย์ที่อาจจะถูกกระทบกระเทือน เนื่องจากโครงการหรือกิจการนั้น ๆ (สำนักงานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2527) ในปี พ.ศ. 2535 ได้มีการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงกฎหมายสิ่งแวดล้อมออกเป็น พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 ในส่วนของการทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมได้ปรากฏใน ส่วนที่ 4 มาตราที่ 46 ถึง มาตราที่ 51 กฎหมายฉบับดังกล่าวได้มีการกำหนดหลักเกณฑ์แก่ผู้รักษาการ (แต่ยังมิได้ระบุไว้ในมาตราโดยตรง) วิธีการ ระเบียบปฏิบัติ แนวทางการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมตลอดจนเอกสารที่เกี่ยวข้องซึ่งต้องนำเสนอพร้อมรายงานฯ เพิ่มเติม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ได้ระบุไว้ชัดในมาตราที่ 56 โดยมีประเด็นหลักที่สำคัญ คือ โครงการพัฒนาใด ๆ ก็ตามที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตชุมชน จะไม่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินกิจการใด ๆ หากไม่มีการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมก่อน ดังนั้น จากกฎหมายหลักฉบับนี้ของไทย ทำให้กฎหมายและข้อบังคับต่าง ๆ ต้องปฏิบัติตามภายใต้เงื่อนไขดังกล่าว
13.2 หลักการของการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม
การวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมหรือที่มักเรียกกันว่า EIA ย่อมาจากคำว่าEnvironmental Impact Assessment ซึ่งหมายถึง การใช้หลักวิชาการในการทำนายหรือคาดการณ์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมทั้งทางบวกและทางลบของการดำเนินโครงการพัฒนาที่จะมีต่อสิ่งแวดล้อมในทุกๆ ด้านทั้งทางทรัพยากรธรรมชาติ และทางเศรษฐกิจและสังคมเพื่อจะได้หาทางป้องกันผลกระทบในทางลบที่อาจเกิดขึ้นให้เกิดน้อยที่สุด ในขณะเดียวกันก็มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติซึ่งส่วนใหญ่ไม่สามารถฟื้นคืนกลับมาได้อย่างมีประโยชน์ มีประสิทธิภาพสูงสุด และคุ้มค่าที่สุด นอกจากนี้ รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมยังใช้เป็นแนวทางในการตัดสินใจของนักบริหารว่าสมควรดาเนินการหรือไม่ การวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมจะเป็นประโยชน์อย่างมากหากได้รับการนามาในการวางแผนป้องกันปัญหาสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่ขั้นตอนการศึกษาความเหมาะสมของโครงการจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นภายหลังดาเนินโครงการไปแล้วได้มากและเป็นวิสัยทัศน์ของนักบริหารโครงการในยุคโลกาภิวัตน์ที่มุ่งเน้นการป้องกันมากกว่าการแก้ไข (สนธิ วรรณแสง และคณะ, 2541)
13.3 ขั้นตอนการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม
ขั้นตอนของการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย
1) การกลั่นกรองโครงการที่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม
2) การจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม
3) การพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม
4) การติดตามตรวจสอบ
1) การกลั่นกรองโครงการที่ต้องจัดทารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม เป็นขั้นตอนที่จะบอกว่าโครงการที่จะพัฒนาขึ้นนั้นจาเป็นจะต้องทาการวิเคราะห์ ผลกระทบสิ่งแวดล้อมหรือไม่ โดยจะพิจารณาว่าโครงการพัฒนาต่างๆ อาจก่อให้เกิดผลกระทบสิ่งแวดล้อมมากน้อยเพียงใด และหากจาเป็นต้องทาการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมควรจะต้องทาการวิเคราะห์ในระดับใด จะทาเป็นรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้นหรือรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม
2) การจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ในการจัดทำรายงานมีขั้นตอนการดาเนินงานที่สำคัญประกอบด้วย การกำหนดขอบเขตการศึกษาและการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
2.1 กำหนดขอบเขตการศึกษา (Scoping) การกำหนดขอบเขตการศึกษาเป็นกระบวนการที่สำคัญ และจาเป็นต้องทำ ตั้งแต่ระยะแรกๆ ของการดาเนินโครงการ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับโครงการ ซึ่งได้แก่ สาธารณชนผู้สนใจหรือผู้ที่ถูกผลกระทบจากโครงการ หน่วยงานของรัฐและผู้ดำเนินโครงการ กระบวนการการกำหนดขอบเขตการศึกษานี้สามารถชี้ให้เห็นถึงสิ่งต่อไปนี้
1) ขอบเขตพื้นที่หรือหัวข้อของความจำเป็นที่ต้องศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม
2) ประเด็นที่สำคัญหรือที่อยู่ในความสนใจของสาธารณชน
3) ข้อมูลที่จำเป็นเพื่อการประเมินผลกระทบ
4) ผลกระทบที่มีนัยสำคัญ วิธีการลดผลกระทบ วิธีการติดตามตรวจสอบและองค์ประกอบอื่นๆที่ต้องพิจารณา
5) กลุ่มผู้มีส่วนได้เสียที่ต้องมีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วม
6) ข้อมูลที่จาเป็นเพื่อการตัดสินใจของผู้มีอำนาจตัดสินใจในระดับสูง
ในการจัดทำขอบเขตการศึกษาเพื่อการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม จะต้องจัดทำ ร่วมกันโดยผู้เชี่ยวชาญหลาย ๆ ด้าน เช่น ด้านน้ำ ด้านอากาศ ด้านชีวภาพ ด้านสังคม ซึ่งเรียกว่า การทำขอบเขตการศึกษาทางวิชาการ หรือ technical scoping และควรให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นที่มีความห่วงใย และนำประเด็นดังกล่าวมาพิจารณากำหนดไว้ในขอบเขตการศึกษาหรือที่เรียกว่าการกำหนดขอบเขตการศึกษาทางสังคมหรือ social scoping การที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นจะทำให้มีการระบุผลกระทบสิ่งแวดล้อมประเด็นสำคัญอื่น ๆ ที่คนในสังคมเหล่านั้นจะได้รับ ในกรณีที่ได้มีการจัดทำรายงานศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น จะช่วยให้ทราบ ประเด็นที่มีนัยสำคัญทางวิชาการที่สมควรนำไปศึกษาในขั้นการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและเมื่อนำข้อมูลเพิ่มเติมที่ได้จากการประชุมร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับโครงการดังกล่าวข้างต้น จะทำให้การกำหนดขอบเขตการศึกษาได้ผลดีที่สุด และจากประสบการณ์ ขอบเขตการศึกษา ไม่ควรจะเป็นเอกสารที่จำกัดเกินไป โดยหากในขั้นตอนการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ได้พบผลกระทบสิ่งแวดล้อมหรือสุขภาพเพิ่มเติมที่มีนัยสำคัญก็ควรทาการวิเคราะห์ในประเด็นนั้นเพิ่มเติมด้วย
2.2 การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม วัตถุประสงค์ของการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมก็เพื่อที่ระบุถึงแนวโน้มของผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่จะเกิดขึ้นในด้านต่างๆ เช่น คุณภาพอากาศ คุณภาพน้า ดิน ทรัพยากรชีวภาพ การจ้างงาน การใช้ที่ดิน เป็นต้น ในการพิจารณาผลกระทบสิ่งแวดล้อมจะต้องครอบคลุมบริเวณที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบและต้องพิจารณาผลกระทบที่เกิดโดยตรงต่อสิ่งแวดล้อมอันเนื่องจากโครงการและผลกระทบทางอ้อมที่โครงการดังกล่าวมีต่อปัจจัยอื่นแล้วย้อนกลับมามีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และต้องพิจารณาว่าผลกระทบนั้นเป็นผลกระทบระยะสั้น และผลกระทบระยะยาว หรือผลกระทบสะสม (cumulative impacts) หรือไม่ในขั้นการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมนั้นจะต้องมีการสำรวจสภาพแวดล้อมของโครงการ พร้อมทั้งดาเนินการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ซึ่งการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมสามารถแบ่งเป็น 3 ขั้นตอน ได้แก่
2.2.1 การจำแนกผลกระทบสิ่งแวดล้อม โดยเป็น การอธิบายเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมในปัจจุบันในบริเวณโครงการว่าปัจจุบันเป็นอย่างไร โดยแบ่งเป็น
1) ทรัพยากรด้านกายภาพ เช่น ดิน น้ำ อากาศ เสียง ภูมิสัณฐาน ธรณีวิทยา เป็นต้น
2) ทรัพยากรด้านชีวภาพ เช่น สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย รวมทั้ง สัตว์ พืช สิ่งมีชีวิตที่หายาก เป็นต้น
3) คุณค่าการใช้ประโยชน์ของมนุษย์ เช่น น้ำดื่ม น้ำใช้ การขนส่ง ไฟฟ้าและพลังงาน การควบคุมน้าท่วม การระบายน้ำ การเกษตรกรรม การอุตสาหกรรม เหมืองแร่ สันทนาการ การใช้ที่ดิน เป็นต้น
4) คุณค่าคุณภาพของชีวิต เช่น เศรษฐกิจสังคม การสาธารณสุข อาชีวอนามัย ประวัติศาสตร์ สุนทรีภาพ เป็นต้น
การอธิบายว่าโครงการจะมีกิจกรรมอะไรบ้าง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทั้งในช่วงก่อสร้างและดำเนินโครงการ เช่น การก่อสร้างถนน อาคาร ก่อให้เกิดฝุ่น และตะกอน เป็นต้น ในการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากโครงการที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อทรัพยากรสิ่งแวดล้อมหรือคุณค่าต่าง ๆ ที่มีต่อมนุษย์ในแต่ละด้านนั้น จะต้องกระทาในเชิงปริมาณให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ 2.2.2 การทำนายผลกระทบสิ่งแวดล้อม การทำนายผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ได้แก่ การคาดการณ์หรือการทานายถึงการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากโครงการ ซึ่งโดยทั่ว ๆ ไปอาจใช้วิธีวิเคราะห์โดยการอธิบายใช้แบบจาลองทางคณิตศาสตร์ เช่น ในกรณีการประเมินด้านอากาศ เป็นต้น หรือเป็นการใช้วิจารณญาณของผู้เชี่ยวชาญ เป็นต้น
2.2.3 การตีค่าผลกระทบสิ่งแวดล้อม เป็นขั้นตอนหลังจากที่ทราบขนาดของผลกระทบต่อทรัพยากรสิ่งแวดล้อมแต่ละตัวแปรแล้ว การรวบรวมผลกระทบของตัวแปรทั้งหมด เพื่อพิจารณาดูผลกระทบทั้งโครงการว่ามีผลดีหรือผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไร ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมีความหลากหลาย เช่น อาจเป็นผลกระทบโดยตรงในเรื่องมลพิษทางน้า อากาศ ไปถึงผลกระทบทางอ้อม เช่น ปัญหาต่อสุขภาพเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินชีวิต หรือแผ่นดินไหวจากการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการเดียวโดดๆ อาจไม่มีนัยสำคัญ แต่หากพิจารณาในภาพรวมของหลาย ๆ โครงการในบริเวณดังกล่าวรวมกันจะเป็นปัญหาสำคัญที่เป็นผลกระทบสะสม เป็นต้น
3) การพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม  ขั้นตอนการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเป็นไปตามที่ พ...ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ..2535 กำหนดแบ่งเป็น 2 รูปแบบ คือ รูปแบบที่ 1 กรณีโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ที่ต้องเสนอขอรับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี รูปแบบที่ 2 กรณีโครงการที่ต้องได้รับอนุญาตจากทางราชการและโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจซึ่งไม่ต้องเสนอขอรับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีหรือโครงการหรือกิจการซึ่งจะต้องได้รับอนุญาตจากทางราชการตามกฎหมายก่อนเริ่มการก่อสร้างหรือดำเนินการซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติตามมาตรา 47 มาตรา 48 และมาตรา 49 ดังนี้
3.1 กรณีโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชนที่ต้องเสนอขอรับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ตามมาตรา 47 วรรคแรก ระบุถึงขั้นตอนการจัดทารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการที่เป็นของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชนซึ่งต้องเสนอขอรับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ต้องจัดทารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมในขั้นที่เจ้าของโครงการทำการศึกษาความเหมาะสมของโครงการ นอกจากนี้ มาตรา 47 วรรคแรกได้ระบุถึงขั้นตอนการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมว่าโครงการที่เป็นของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชนซึ่งต้องเสนอขอรับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ให้ต้องเสนอรายงานฯ ต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เพื่อให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอความเห็นประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีและจะเห็นว่ามาตรา 47 นี้ไม่มีการกำหนดระยะเวลาในการพิจารณารายงานไว้ ในทางปฏิบัติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติได้แต่งตั้งคณะกรรมการผู้ชำนาญการขึ้นมาช่วยพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ การดาเนินงานตามขั้นตอนการพิจารณาโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชนที่ต้องเสนอขอรับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี จึงมีขั้นตอนสรุปได้ดังภาคผนวก ก
3.2 กรณีโครงการที่ต้องได้รับอนุญาตจากทางราชการตามกฎหมายและโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจซึ่งไม่ต้องเสนอขอรับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี กรณีโครงการที่ต้องได้รับอนุญาตจากทางราชการและโครงการของส่วนราชการรัฐวิสาหกิจซึ่งไม่ต้องเสนอขอรับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี สานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะตรวจสอบความครบถ้วนและความถูกต้องของรายงานภายในระยะเวลา 15 วัน กรณีที่รายงานที่เสนอมาไม่ครบถ้วนหรือไม่ถูกต้อง สานักงานฯ จะแจ้งเจ้าของโครงการแก้ไขรายงาน หากรายงานดังกล่าวครบถ้วนและถูกต้องแล้ว สานักงานฯ จะสรุปความเห็นเบื้องต้นเสนอต่อคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานฯ ภายในระยะเวลา 15 วัน คณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ จะใช้เวลาในการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม 45 วัน หากคณะกรรมการเห็นชอบ สานักงานฯ จะแจ้งให้หน่วยงานอนุญาตทราบเพื่อนาผลไปประกอบการพิจารณาออกใบอนุญาตต่อไป แต่หากคณะกรรมการผู้ชำนาญการยังไม่เห็นชอบในรายงานหรือให้เจ้าของโครงการเพิ่มเติมข้อมูล สานักงานฯ จะแจ้งให้ผู้ขออนุญาตทราบและแก้ไขรายงานต่อไป ในกรณีที่ผู้ขออนุญาตต้องแก้ไขเพิ่มเติมรายงานตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการเมื่อได้แก้ไขเพิ่มเติมรายงานและเสนอรายงานดังกล่าวต่อสานักงานฯ แล้วสานักงานฯ จะนาเสนอคณะกรรมการพิจารณา โดยในขั้นตอนนี้คณะกรรมการจะมีเวลาพิจารณา 30 วัน สรุปขั้นตอนการพิจารณารายงานฉบับแก้ไขเพิ่มเติมได้ ดังภาคผนวก ข ในระหว่างการแก้ไขนี้ หน่วยงานอนุญาตจะสั่งอนุญาตไม่ได้ต้องรอจนกว่าผู้ขออนุญาตได้เสนอรายงานฉบับแก้ไขเพิ่มเติมและรายงานได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการซึ่งการกำหนดไว้ในลักษณะนี้เพื่อยังไม่ให้มีการก่อสร้างหรือดาเนินโครงการจนกว่ารายงานจะได้รับความเห็นชอบ ซึ่งผู้ขออนุญาตจะต้องนำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบไปปฏิบัติในการก่อสร้างหรือดาเนินโครงการ หากมีการก่อสร้างหรือดาเนินโครงการไปแล้ว ผลจากการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ก็จะไม่เกิดขึ้นในทางปฏิบัติในการป้องกันผลกระทบสิ่งแวดล้อมไว้ล่วงหน้า ในขั้นตอนนี้ จะเห็นว่าการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมไม่ใช่การอนุญาตโครงการ แต่เป็นกระบวนการดาเนินงานเพื่อให้ได้ข้อมูลที่สำคัญด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาตัดสินใจอนุญาตโครงการของหน่วยงานอนุญาต
4) การติดตามตรวจสอบ ในการพิจารณากำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมนั้น การหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดผลกระทบสิ่งแวดล้อมดังกล่าวเป็นวิธีการในการกาหนดมาตรการที่สาคัญที่สุด บางครั้งอาจต้องมีการปรับเปลี่ยนการออกแบบโครงการ เช่น การขยับแนวถนนเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อชุมชนหรือต่อโบราณสถาน เป็นต้น ในกรณีที่ไม่สามารถกำหนดมาตรการที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดผลกระทบได้ ก็จำเป็นต้องเสนอมาตรการที่จะช่วยลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด เช่น การติดตั้งระบบบาบัดน้าเสียที่มีประสิทธิภาพและสามารถบาบัดน้าเสียให้มีคุณภาพตามมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกาหนด เป็นต้น นอกจากการกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมแล้วยังต้องกาหนดมาตรการในการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่ามาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล และคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบบริเวณโครงการอยู่ในมาตรฐาน
13.4 การบูรณาการการประเมินผลกระทบทางสุขภาพ
ความจำเป็นที่จะต้องพัฒนาการประเมินผลกระทบทางสุขภาพตามรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม
1) ข้อมูลสุขภาพมีอยู่ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายใต้ด้านคุณค่าต่อคุณภาพชีวิต เรื่อง สาธารณสุขและอาชีวอนามัย
 2) ข้อมูลสุขภาพ ยังไม่ได้นำไปแสดงความสัมพันธ์ต่อผลกระทบในด้านอื่น ๆ เช่น ด้านกายภาพ ด้านคุณค่าการใช้ประโยชน์ของมนุษย์ เป็นต้น
3) ควรศึกษาในเรื่องกลุ่มเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบทางสุขภาพให้ชัดเจนมากขึ้นว่าประชาชนแต่ละกลุ่มจะมีโอกาสได้รับผลกระทบที่แตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร ซึ่งจะต้องถูกนำไปใช้ในการพิจารณากำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบที่ชัดเจน
4) การตัดสินใจอนุมัติ อนุญาต โครงการหรือกิจการ ควรพิจารณาข้อมูลทุกด้านประกอบกันทั้งด้านเศรษฐกิจ วิศวกรรม สิ่งแวดล้อม สุขภาพ สังคม การแยกการประเมินทางสุขภาพจะทาให้ข้อมูลแยกส่วน การพิจารณาสิ้นเปลืองเวลาและทรัพยากรมากขึ้น (รายละเอียดความเชื่อมโยงของข้อมูลสุขภาพในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมดังภาพที่ 1) นอกจากประโยชน์โดยตรงในการลดผลกระทบต่อสุขภาพแล้ว การประเมินผลกระทบทางสุขภาพยังมีประโยชน์ในด้านต่อไปนี้ คือ
ทำให้เกิดความเสมอภาคและความเป็นธรรมทางสุขภาพมากยิ่งขึ้น
ทำให้ผู้กำหนดนโยบายเห็นภาพว่าการตัดสินใจของพวกเขามีผลกระทบต่อสุขภาพได้อย่างไร
ทำให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างสุขภาพและนโยบายการพัฒนาด้านต่างๆ
ทำให้เกิดความร่วมมือและประสานการดำเนินการระหว่างภาคส่วนต่างๆในการดูแลสุขภาพประชาชน
ทำให้เกิดการวางแผนและตัดสินใจโดยใช้ความรู้และหลักฐานเชิงประจักษ์
ทำให้เกิดการลงทุนในการดาเนินการเพื่อให้สามารถดูแลสุขภาพประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการหรือกิจการ
ทำให้กระบวนการตัดสินใจเชิงนโยบาย มีความโปร่งใส เพราะมีการเปิดโอกาสให้ประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียได้เข้าร่วมกระบวนการตัดสินใจด้วย
จากการศึกษาขององค์การอนามัยโลก (WHO, 1992) ระบุที่ผ่านมาในการตัดสินใจในการพัฒนา ให้ความสำคัญในประเด็นด้านสุขภาพน้อยมาก และการปรับปรุงรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมในเรื่องสุขภาพให้มากขึ้น เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลและเป็นโอกาสที่ดีที่จะทาให้มีการพิจารณาให้ความสำคัญต่อประเด็นทางด้านสุขภาพในกระบวนการตัดสินใจอันเป็นเป้าหมายสูงสุดของการพัฒนาที่ยั่งยืน นอกจากนี้ The World Commission on Environment and Development, 1987 ได้รายงานไว้ในเอกสาร “Our Common Future” โดยเน้นถึงความจำเป็นในการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อให้ประชากร 4 ใน 5 ของโลกซึ่งยากจน ได้มีสุขภาพที่เหมาะสม ในขณะที่การพัฒนาดังกล่าวต้องไม่ทำอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม ดังนั้น ในสาระของการพัฒนาอย่างยั่งยืน เรื่องของสุขภาพอนามัยจึงต้องเชื่อมโยงกับสภาวะที่ดีของระบบนิเวศ การรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ กระบวนการทางธรรมชาติและระบบค้ำจุนการดารงชีวิตของสิ่งมีชีวิต



อนามัยสิ่งแวดล้อมบทที่ 12 การสุขาภิบาลในภาวะฉุกเฉิน

แผนการสอน
รายวิชาอนามัยสิ่งแวดล้อมและอาชีวอนามัย
บทที่ 12 การสุขาภิบาลในภาวะฉุกเฉิน
หัวข้อ
12.1  แนวคิด
12.2ความหมายและประเภทของภาวะฉุกเฉิน
12.3 ผลเสียและปัญหาที่เกิดจากสาธารณภัยที่ก่อให้เกิดภาวะฉุกเฉิน
 12.4ปัญหาที่เกิดจากสาธารณภัย
12.5 ระยะของการเกิดภัยพิบัติ
12.6 หลักทั่วไปในการจัดการสุขาภิบาลภาวะฉุกเฉิน (Disaster Sanitation) 
12.7การใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมในการจัดสุขาภิบาลสภาวะฉุกเฉิน
12.8 วิธีดำเนินการจัดการสุขาภิบาลสภาวะฉุกเฉิน
12.1 แนวคิดและหลักการ
          คำว่า "เหตุฉุกเฉิน" ถูกมองโดยคนอื่นและองค์กรแตกต่างกัน ในกรณีทั่วไปเหตุฉุกเฉินอาจถือได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากภัยพิบัติที่มนุษย์สร้างขึ้นและ / หรือภัยพิบัติทางธรรมชาติซึ่งส่งผลให้เกิดภัยคุกคามอย่างร้ายแรงต่อสุขภาพหรือความเป็นอยู่ที่ดีของชุมชนที่ได้รับผลกระทบโดยอาศัยความช่วยเหลือจากภายนอก เพื่อรับมือกับสถานการณ์ได้ง่ายขึ้น [1]
มีประเภทที่แตกต่างกันของเหตุฉุกเฉินขึ้นอยู่กับกรอบเวลาไม่ว่าจะเป็นเวลาไม่กี่สัปดาห์หลายเดือนหรือหลายปี [1]จำนวนผู้ที่ได้รับและจะได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ (วิกฤติมนุษย์และภัยพิบัติทางธรรมชาติ) ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากและมีความถี่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว คนที่ได้รับผลกระทบอาจได้รับอันตรายเช่นการไร้ที่อยู่อาศัยชั่วคราวและความเสี่ยงต่อชีวิตและสุขภาพ [2]
12.2 จำนวนชั่วโมงเรียน  ภาคบรรยาย 2 ชั่วโมง   
12.3 จุดประสงค์การเรียนรู้
เพื่อให้นักศึกษามีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับแมลงที่เป็นเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคในมนุษย์ ยุง แมลงวัน แมลงสาบ หนู การควบคุมและป้องกันโรค
12.4 จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม เมื่อนิสิตเรียนวิชานี้แล้ว นักศึกษามีความรู้ ความสามารถและทักษะ ดังนี้
1. สามารถบอกความหมาย ความสำคัญของการสุขาภิบาลสิ่งขับถ่าย
2. สามารถอธิบายองค์ประกอบที่พิจารณาในการกำจัดสิ่งขับถ่าย
3. สามารถบอกและอธิบายหลักการกำจัดและวิธีการกำจัดสิ่งขับถ่าย 
12.5 เนื้อหาสาระ
ภาคบรรยาย
ความหมาย ความสำคัญของเกี่ยวกับแมลง หลักการกำจัดและวิธีการกำจัดแมลงและสัตว์นำโรค
12.6 กิจกรรมการเรียนการสอน
ภาคบรรยาย ทำการสอนในห้องเรียนแบบบรรยาย 4 ชั่วโมง ในหัวข้อที่ 1 - 3
12.7 สื่อการเรียนการสอน
          แผ่นสไลด์บรรยาย (power point)
เอกสารประกอบการสอน
          เอกสารประกอบการสอน ประกอบด้วยรูปภาพและตารางประกอบคำบรรยาย
12.8 การวัดผลและประเมินผล
          สอบข้อเขียนกลางภาค  ปลายภาค สรุปเนื้อหาที่เรียน / ความรู้ที่ได้รับลงสมุดบันทึกท้ายชั่วโมงบรรยาย





บทที่ 12 การสุขาภิบาลในภาวะฉุกเฉิน
หัวข้อ
12.1  แนวคิด
12.2ความหมายและประเภทของภาวะฉุกเฉิน
12.3 ผลเสียและปัญหาที่เกิดจากสาธารณภัยที่ก่อให้เกิดภาวะฉุกเฉิน
 12.4ปัญหาที่เกิดจากสาธารณภัย
12.5 ระยะของการเกิดภัยพิบัติ
12.6 หลักทั่วไปในการจัดการสุขาภิบาลภาวะฉุกเฉิน (Disaster Sanitation) 
12.7การใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมในการจัดสุขาภิบาลสภาวะฉุกเฉิน
12.8 วิธีดำเนินการจัดการสุขาภิบาลสภาวะฉุกเฉิน
12.1  แนวคิด
             ภัยพิบัติโดยธรรมชาติ เป็นสิ่งที่ขัดขวางทำลาย การพัฒนาอย่างยั่งยืนไม่แพ้ ภัยก่อการร้าย (terrorism) และภัยมลพิษต่างๆ การจัดการภัยพิบัติต่างๆแต่เดิมมักทำแต่เรื่องการแก้ไข ให้ความช่วยเหลือผู้ประสพภัย หรือการเร่งตอบสนอง(emergency response) เป็นส่วนใหญ่ ทำให้เกิดปัญหาอื่นๆผสมมาด้วย เช่น การช่วยเหลือขาดประสิทธิภาพ ของที่ให้มาช่วยขาดคุณภาพก่อปัญหาใหม่ใหญ่หลวงได้ ดังนั้นแนวคิดใหม่ในเรื่องการจัดการภัยพิบัติ จึงต้องการให้จัดตามแนวคิดแก้และป้องกันปัญหาด้วยกันในลักษณะเป็นการบูรณาการองค์ ประกอบปัจจัยแห่งการช่วยเหลือให้เป็นองค์รวมร่วมมือกับแท้จริงมากขึ้น
 มีการวางแผนรองรับแต่ก่อนเกิดภัย (pre-disaster planning) ได้แก่กิจกรรม การป้องกันและบรรเทาล่วงหน้า(prevention&mitigation) ผสานไว้ในแผนพัฒนาอย่างยั่งยืนที่มีทำไว้อยู่ทุกท้องถิ่น ตามด้วยแผนการเตรียมพร้อมเผชิญภัย ( preparedness) และแผนจัดระบบเตือนภัย (warning system) พร้อมการฝึกปฏิบัติการตามแผนเพื่อประเมินการรับมือเป็นระยะๆ มีการเตรียมจัดทำ แผนที่ความเสี่ยงให้รู้สภาพและจุดเสี่ยง และจุดปลอดภัย (rally point)เพื่ออพยพมาตั้งหลัก( evacuation)เมื่อภัยมาถึงจริง  หลังจากนั้นจึงเป็นเรือเร่ง ตอบสนองช่วยเหลือ(emergency response) ซึ่งทำไปพร้อมกับการประเมินสภาพปัญหาและความต้องการอย่างเร่งด่วน (rapid assessment) และ ระดมความช่วยเหลือเพิ่มเติมจากส่วนที่เตรียมไว้ไม่พอให้ทันกาลยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเรื่องปัจจัยดำรงชีวิตสำหรับผู้ประสบภัย บ้านพักชั่วคราว อาหาร เครื่องนุงห่ม การรักษาพยาบาล น้ำดื่มสะอาด และการสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม  ทุกระยะแห่งการจัดการควรเชื่อมสัมพันธ์เพื่อให้การฟื้นฟู (recovery / Rehabilitation) ดำเนินการสำเร็จรวดเร็ว กลับสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน( sustainable development )ตามเดิม
12.2ความหมายและประเภทของเหตุฉุกเฉิน
          เหตุฉุกเฉิน (Emergency) หมายถึง เหตุการณที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด และมีความรุนแรงทำ ให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเป็นอย่างมาก ทำ ให้ภาครัฐต้องประกาศภาวะฉุกเฉินในพื้นที่นั้นๆ เพื่อระดมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการให้ความช่วยเหลือและแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วนภาวะฉุกเฉินอาจเกิดขึ้นได้อย่างเฉียบพลัน มีผลกระทบในระยะสั้นๆ หรืออาจเกิดสะสมมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง  และมีผลกระทบอย่างต่อเนื่องยาวนานก็ได้  ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับรูปแบบและลักษณะของความผิดปกติที่เกิดขึ้นนั้นๆประเภทของภาวะฉุกเฉิน
 สาธารณภัย (Disaster) หมายถึง ภัยอันมีมาเป็นสาธารณะไม่ว่าเกิดจากธรรมชาติ หรือมีผู้ทำให้เกิดขี้น ได้แก่ อัคคีภัย วาตภัย อุทกภัย ตลอดจนภัยอื่นๆ ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายแก่ชีวิตร่างกายของประชาชนหรือความเสียหายแก่ทรัพย์สินของประชาชนหรือรัฐ
 ภาวะฉุกเฉิน/ภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข หมายถึง ภาวะที่ทำให้เกิดผลกระทบทางสุขภาพที่มีความรุนแรง (Seriousness of the public health impact) ทำให้เกิดการป่วย และการตายจำนวนมาก เป็นเหตุการณ์ที่ผิดปกติหรือไม่เคยพบมาก่อน (Unusual or unexpected nature of the event) เช่น
โรคติดเชื้ออุบัติซ้ำ และโรคที่ไม่เคยพบมาก่อน มีโอกาสที่จะแพร่ไปสู่พื้นที่อื่น (Potential for the event to spread) และอาจต้องมีการจำกัด การเคลื่อนย้ายที่ของผู้คนหรือสินค้า (The risk that restrictions to travel or trade) เช่น โรคติดต่อจากสัตว์หรือมีการติดต่อได้ง่ายจากการเดินทาง
โรคระบาด (Epidemic) ภัยอันเกิดการระบาดของโรค เช่น โรคเอดส์ (HIV) โรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจรุนแรงเฉียบพลัน (Severe Acute Respiratory Syndrome: SARs) โรคไข้หวัดนก (Bird Flu) โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 (H1N1) เป็นต้นการสุขาภิบาลฉุกเฉิน หมายถึงการจัดการและกระบวนการทางเทคนิคที่จำเป็นเพื่อให้สามารถเข้าถึงสุขาภิบาลในสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นภัยพิบัติทางธรรมชาติและระหว่างปฏิบัติการบรรเทาทุกข์สำหรับผู้ลี้ภัยและผู้พลัดถิ่นภายใน (IDPs) มีสามขั้นตอน:ได้แก่ การปฏิบัติการเฉียบพลันทันที การปฏิบัติการระยะสั้นและการปฏิบัติการระยะยาว ในระยะเร่งด่วนมุ่งเน้นไปที่การจัดการการถ่ายอุจจาระเปิดและเทคโนโลยีห้องน้ำอาจรวมถึงส้วมพื้นฐานห้องส้วมห้องสุขาถังห้องน้ำที่ใช้คอนเทนเนอร์ห้องสุขาเคมี รวมถึงการจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกในการล้างมือและการจัดการกากตะกอนเป็นส่วนหนึ่งของการสุขาภิบาลฉุกเฉิน
ภาวะฉุกเฉิน  แบ่งตามลักษณะของสาธารณภัยภัยหรือความผิดปกติของสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น ดังต่อไปนี้
12.1.1. ภาวะฉุกเฉินจากภัยธรรมชาติ (Natural Disaster)
เป็นภาวะฉุกเฉินที่เกิดจากภัยที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ  มักเกิดขึ้นตามฤดูกาลเป็นส่วนใหญ่แต่บางครั้งก็เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว ซึ่งสามารถก่อให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินเป็นอย่างมาก ภาวะฉุกเฉินจากภัยธรรมชาติ สามารถแยกย่อยต่อไปได้อีก ดังนี้
- สาธารณภัยเชิงอุตุนิยมวิทยา (meteorological disaster) เกิดขึ้นตามฤดูกาล คือ
วาตภัย  (Windstorm) หมายถึง ภัยธรรมชาติซึ่งเกิดจากพายุลมแรง นับเป็นภัยธรรมชาติที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในระดับหนึ่ง ถึงแม้ความถี่ของการเกิดวาตภัยจะลดลง แต่มูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้งกลับมีแนวโน้มสูงขึ้นโดยลำดับภัยที่เกิดจากแรงลมและพายุ เช่นพายุดีเปรสชั่น  พายุโซนร้อน  พายุใต้ฝุ่น  พายุใต้ฝุ่นที่มีอำนาจทำลายสูงมาก  สามารถทำให้ต้นไม้ถอนรากถอนโคน
อากาศหนาวผิดปกติ เช่น ในภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ  อุณหภูมิในบางปีลดต่ำลงใกล้ศูนย์องศาเซลเซียส
คลื่นความร้อน (heat wave) ทำให้อากาศร้อนผิดปกติในประเทศเขตหนาวทำให้ผู้ป่วยโรคหัวใจเสียชีวิตมากขึ้น
ภัยแล้ง (Drought) หมายถึง ความแห้งแล้งของลมฟ้าอากาศ อันเกิดจากการที่มีฝนน้อยกว่าปกติ หรือฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาลเป็นระยะเวลานานกว่าปกติ และครอบคลุมพื้นที่บริเวณกว้าง ภัยแล้ง (drought) ทำให้ข้าวและพืชผลทางการเกษตรเสียหายมาก  เกิดความขาดแคลนและอดอยาก  เป็นต้นเหตุของทุพภิกขภัยอย่างหนึ่ง
- สาธารณภัยตามสภาพภูมิประเทศ (topological disaster) เป็นสาธารณภัยที่เกิดขึ้นตามลักษณะของภูมิประเทศ  สาธารณภัยประเภทนี้ได้แก่
อุทกภัย (Flood) หมายถึง ภัยที่เกิดขึ้นเนื่องจากน้ำเป็นสาเหตุ อาจจะเป็นน้ำท่วม น้ำป่าหรืออื่นๆ โดยปกติอุทกภัยเกิดจากฝนตกหนักต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน บางครั้งทำให้เกิดแผ่นดินถล่ม อาจมีสาเหตุจากพายุหมุนเขตร้อน ลมมรสุมมีกำลังแรง ร่องความกดอากาศต่ำกำลังแรง อากาศแปรปรวน น้ำทะเลหนุน แผ่นดินไหว เขื่อนพัง เป็นต้น ประเทศไทยประสบปัญหาน้ำท่วมเกือบทุกปี  เนื่องจากมีการตัดไม้ ทำลายป่า  การทรุดตัวของดิน  มีลมพายุและลมมรสุมรุนแรง  ฝนตกหนักและน้ำทะเลหนุน
หิมะถล่ม ซึ่งถ้าไม่มีอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน ไม่จัดเป็นสาธารณภัย
- สาธารณภัยที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงพื้นผิวโลก(tectonic disaster) การเปลี่ยนแปลงของผิวโลกทำให้เกิดแผ่นดินเลื่อน แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด  เป็นต้น
แผ่นดินเลื่อนหรือแผ่นดินถล่ม (landslide)   เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติของการสึกกร่อนชนิดหนึ่ง ที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อบริเวณพื้นที่ที่เป็นเนินสูงหรือภูเขาที่มีความลาดชันมาก เนื่องจากขาดความสมดุลในการทรงตัวบริเวณดังกล่าว ทำให้เกิดการปรับตัวของพื้นดินต่อแรงดึงดูดของโลก และเกิดการเคลื่อนตัวขององค์ประกอบธรณีวิทยาบริเวณนั้นจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำการเปลี่ยนระดับของชั้นผิวโลกทำให้เกิดการไหวและสั่นสะเทือนของอาคารบ้านเรือน  บางครั้งเมื่อมีฝนตกหนัก  ไม่มีการยึดเหนี่ยวของพื้นผิวดิน  อาจทำให้พื้นผิวดินพังทลายลงมาและเป็นอันตรายได้
แผ่นดินไหว (earthquake) คือ การเปลี่ยนแปลงของผิวโลกที่มีการสั่นสะเทือนเป็นลูกคลื่นและเป็นระลอกเคลื่อนจากจุดศูนย์กลางออกไปทุกทิศทาง  ทำลายบ้านเรือนและสิ่งก่อสร้างต่างๆแผ่นดินไหว (Earthquake) สาเหตุของการเกิดแผ่นดินไหวนั้นส่วนใหญ่เกิดจากธรรมชาติ
ภูเขาไฟระเบิด (volcanic eruption) เป็นการปลดปล่อยหินละลาย และแร่ธาตุต่างๆ จากใต้พื้นผิวโลกออกมาซึ่งบางครั้งก็อาจเป็นเพียงขี้เถ้า  หรือควันดำ หรืออาจเป็นหินหลอมเหลวที่มีความร้อนสูงอันเป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน
- สาธารณภัยทางชีวภาพ (biological disaster) เป็นสาธารณภัยที่มีสาเหตุเนื่องมาจากสิ่งมีชีวิต เช่น เชื้อโรคต่างๆ ที่ทำให้เกิดโรคระบาด  สัตว์และแมลงที่ทำลายพืชไร่ทางเกษตรกรรม
 การระบาดของโรค เช่น อหิวาตกโรค  กาฬโรค โปลิโอ ไข้สมองอักเสบ เป็นต้น โรคติดต่อต่างๆ สามารถทำให้เกิดการระบาดของโรคได้ในเมื่อมีแหล่งแพร่เชื้อที่เหมาะสม  มีการแพร่กระจายของโรค และภูมิคุ้มกันของกลุ่มชนต่ำ
ภัยจากฝูงสัตว์และแมลง  เกิดจากสัตว์บางชนิด เช่น หนูนา ตั๊กแตน ฯลฯ ที่ทำลายพืชผลทางการเกษตรได้  อันนำมาซึ่งการเกิดทุพภิกขภัยหรือการระบาดของโรคจากอาหารได้
12.1.2. ภาวะฉุกเฉินจากภัยมนุษย์ (Man-made disaster)
เป็นภาวะฉุกเฉินที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ทั้งโดยความไม่ตั้งใจ ประมาท เผลอเรอ และความตั้งใจในการทำลายล้างซึ่งกันและกัน ได้แก่
อัคคีภัย หมายถึง ภยันอันตรายอันเกิดจากไฟที่ขาดการควบคุมดูแล ทำให้เกิดการติดต่อลุกลามไปตามบริเวณที่มีเชื้อเพลิงเกิดการลุกไหม้ต่อเนื่อง สภาวะของไฟจะรุนแรงมากขึ้นถ้าการลุกไหม้ที่มีเชื้อเพลิงหนุนเนื่อง หรือมีไอของเชื้อเพลิงถูกขับออกมามากจากการจราจร ทั้งทางอากาศ ทางบก ทางน้ำ
ภัยจากการอุตสาหกรรม เช่น การระเบิดของเครื่องจักร
ภัยจากการก่อสร้าง เช่น อุบัติเหตุจากการก่อสร้าง
ภัยจากการขัดแย้งในผลประโยชน์ หรือการก่ออาชญากรรมในที่สาธารณะ เช่น การก่อการทะเลาะวิวาท
ภัยจากการก่อวินาศกรรม เช่น การลอบวางระเบิด ลอบสังหารบุคคลต่างๆ
ภัยจากการจลาจล ภัยจากการรวมกลุ่มของบุคคลคณะใด คณะหนึ่ง กระทำการมิชอบด้วยกฏหมาย ด้วยความตั้งใจและใช้ความรุนแรง เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทำให้เกิดภยันตรายขึ้นได้
ภัยจากสงคราม เช่น สงครามโลก สงครามเกาหลี สงครามเวียตนาม
อย่างไรก็ตาม ภาวะฉุกเฉินทั้งสองประเภทนี้อาจมีที่มาที่แตกต่างกัน  แต่ก็มักจะก่อให้เกิดภัยพิบัติในลักษณะเดียวกันได้ เช่น ทั้งภัยธรรมชาติและภัยจากมนุษย์ก็สามารถก่อให้เกิด ไฟไหม้ อาคารก่อสร้างถล่ม การระบาดของโรคได้ เป็นต้น
จากสาธารณภัยที่ก่อให้เกิดภาวะฉุกเฉินมาทั้งหมดนี้  อาจนำมาสรุปความสัมพันธ์ตมแผนภาพดังต่อไปนี้
12.3 ผลเสียและปัญหาที่เกิดจากสาธารณภัยที่ก่อให้เกิดภาวะฉุกเฉิน
1. ผลเสียทางเศรษฐกิจ เกิดจากความเสียหายที่เกิดขึ้นทำให้ประเทศชาติต้องนำงบประมาณมาใช้เพื่อการบูรณะฟื้นฟู  อันนำมาซึ่งการสูญเสียงบประมาณแทนที่จะนำมาใช้เพื่อการพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าได้ อันเป็นการถ่วงการพัฒนาประเทศในอีกทางหนึ่งผลเสียทางเศรษฐกิจ
2. ผลเสียทางเกษตรกรรม สาธารณภัยบางอย่าง เช่น วาตภัย อุทกภัย สามารถก่อให้เกิดความเสียหายแก่การเกษตรกรรมของประเทศทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ทั้งในระดับที่เกิดความเสียหาย และถึงขั้นเกิดการล่มสลาย ซึ่งจะก่อให้เกิดการขาดแคลนผลผลิตทางการเกษตรอันเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต  ทั้งยังเป็นที่มาของผลเสียทางเศรษฐกิจในด้านอื่นๆ ได้ เช่น อุตสาหกรรมแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร เป็นต้น
3. ผลเสียทางอุตสาหกรรม  เกิดจากความเสียหายของปัจจัยต่างๆ ทางอุตสาหกรรมทั้งในด้านกระบวนการผลิต(สถานประกอบการ)  ปัจจัยการผลิต (วัตถุดิบ แรงงาน ฯลฯ) การขนส่งต่างๆ เหล่านี้จะทำให้เกิดการหยุดชะงักหรือล่มสลายลง  และจะก่อให้เกิดการขาดแคลนสินค้า และบริการต่างๆ ซึ่งจะนำไปสู่ความเสียหายของธุรกิจอื่นๆ  อันนำมาซึ่งผลเสียหายทางเศรษฐกิจในภาพรวมต่อไปได้
4. ผลเสียต่อทรัพย์สิน สาธารณภัยก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของประชาชนและประเทศชาติ ทั้งสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งทำให้ไม่สามารถใช้งานต่อไปได้ ก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อประชาชน จำเป็นต้องได้รับการซ่อมแซม  แก้ไข  ซึ่งจะทำให้เกิดการสูญเสียเงินเพื่อการบูรณะฟื้นฟูและนำไปสู่ความเสียหายทางเศรษฐกิจอีกทางหนึ่งด้วย
5. ผลเสียต่อร่างกายและชีวิต การเกิดสาธารณภัยแทบทุกครั้งจะนำมาซึ่งการสูญเสียร่างกายและชีวิตของทรัพยากรมนุษย์อันเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประเทศ ทั้งที่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บ ทุพพลภาพ และเสียชีวิต ซึ่งจะก่อให้เกิดการหยุดชะงักของการขับเคลื่อนของกลไกทางเศรษฐกิจได้
6. ผลเสียต่อจิตใจ การเกิดสาธารณภัยแทบทุกครั้งนอกจากจะนำมาซึ่งการสูญเสียทรัพยากรมนุษย์อันแล้ว  ยังก่อให้เกิดผลเสียต่อจิตวิทยา คือ ความหวาดวิตก  กังวล และท้อแท้ ซึ่งสามารถจะนำไปสู่การหยุดชะงักในการปฏิบัติงาน  ตลอดจนการดำรงชีวิตได้  จนกลายเป็นการขัดขวางการพัฒนาประเทศชาติได้
 12.4ปัญหาที่เกิดจากสาธารณภัย
1. ปัญหาทางการสาธารณสุข เกิดจากการที่ประชาชนอยู่ในสภาพแวดล้อมอันไม่เหมาะสมจากความเสียหายอันเกิดจากสาธารณภัย เช่น การขาดแคลนอาหาร น้ำสะอาด ที่อยู่อาศัย ฯลฯ ซึ่งจะก่อให้เกิดโรคระบาด หรือปัญหาสุขภาพอื่นๆ เช่น ทุพพภิกขภัยต่อประชาชนผู้ประสบสาธารณภัยเป็นอย่างมาก  และสามารถก่อให้เกิดการแพร่ระบาดไปยังพื้นที่อื่นๆ ต่อไปได้
2. ปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม นับเป็นผลต่อเนื่องมาจากความสัยทางด้านเศรษฐกิจและทรัพย์สิน  เพราะเมื่อกลไกต่างๆ ทางด้านเศรษฐกิจได้เกิดความเสียหายหรือล่มสลายลงไปแล้ว ปัญหาการขาดแคลนสินค้าและบริการต่างๆ รวมทั้งเงินทองสามารถก่อให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจติดตามมา เช่น การว่างงาน ราคาสินค้าสูงขึ้น เป็นต้น  นอกจากนี้ ปัญหาทางเศรษฐกิจดังกล่าวยังมีผลให้เกิดปัญหาสังคมติดตามมา เช่น การว่างงานและไม่มีเงินในการยังชีพจะก่อให้เกิดการประกอบอาชญากรรม ปัญหาราคาสินค้าสูงขึ้นอาจจะนำไปสู่ การก่อความไม่สงบ การจลาจล รวมไปถึงการก่อสงครามขนาดย่อยได้  ทั้งยังอาจเกิดปัญหาสังคมอื่นๆ อีก เช่น เด็กถูกทอดทิ้งเพราะพ่อแม่ไม่สามารถเลี้ยงดูได้
3. ปัญหาทางการเมืองการปกครอง เมื่อเกิดสาธารณภัยใดๆ และหากหน่วยงานของรัฐไม่ได้เข้าไปช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีแล้วอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว  ก็อาจทำให้ประชาชนเกิดปฏิกิริยในทางลบต่อหน่วยงานของรัฐ อันอาจก่อให้เกิดความแตกแยกของคนในชาติ จนกลายเป็นปัญหาความมั่นคงของประเทศชาติได้ นอกจากนี้  สิ่งดังกล่าวยังนำอาจนำมาซึ่งการเสียภาพพจน์ของประเทศชาติในสังคมโลกได้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคข่าวสารในปัจจุบันนี้
4. ปัญหาทางสาธารณูปโภค การสาธารณคมนาคม และการขนส่ง สาธารณูปโภคต่างๆ เช่น ไฟฟ้า น้ำประปา การคมนาคม ขนส่ง ติดต่อสื่อสารต่างๆ เมื่อได้รับความเสียหายจากสาธารณภัยก็จะเกิดการหยุดชะงักไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ ซึ่งจะก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชนส่วนรวม จำเป็นต้องได้รับการซ่อมแซมบูรณะให้ใช้งานต่อไปได้  ในการนี้ก็จำเป็นต้องใช้งบประมาณมาดำเนินการอันจะนำมาซึ่งปัญหาเศรษฐกิจของประเทศชาติต่อไป
12.5 ระยะของการเกิดภัยพิบัติ
1. ระยะเตือนภัย (warning stage) ระยะนี้เป็นช่วงระยะเวลาก่อนเกิดภัยซึ่งอาจจะสั้นหรือยาวแล้วแต่ชนิดของสาธารณภัย  ทำให้มีโอกาสเตือนภัยแก่ประชาชนได้  ในปัจจุบันองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (world meteorological organization) และการเฝ้าระวังอากาศโลก (world weather watch) ได้อาศัยดาวเทียมขอบข่ายงานของสถานีพยากรณ์อากาศต่างๆ และอุปกรณ์อิเล็คโทรนิคส์ที่ทันสมัย สามารถพยากรณ์สาธารณภัยทางอุตุนิยมวิทยาได้ล่วงหน้า เช่น พายุโซนร้อน พายุดีเปรสชั่น พายุไต้ฝุ่น ซึ่งสามารถแจ้งให้ทราบถึงความเร็วลม ทิศทางและกำหนดเวลาที่เข้าพื้นที่ได้ล่วงหน้าอย่างน้อย 36 ชั่วโมงซึ่งจะทำให้สามารถดำเนินการป้องกัน  อพยพประชาชนและเตรียมการบรรเทาความเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้ การเตือนภัยให้ประชาชนและเจ้าหน้าที่ทราบล่วงหน้านับว่ามีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง  เพื่อที่ประชาชนและเจ้าหน้าที่จะได้เตรียมการปฏิบัติอย่างถูกต้องตามแบบแผนที่วางเอาไว้  อันจะมีผลให้เกิดความสูญเสียได้น้อยที่สุด
2. ระยะเกิดภัย (impact phase) ระยะนี้เป็นระยะเวลาในการเกิดภัยพิบัติอันก่อให้เกิดความเสียหายทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สิน  ระยะเวลาที่เกิดภัยพิบัตินี้แตกต่างกันไปตามแต่ชนิดของภัยนั้นๆ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เป็นวินาทีหรือนาที เช่น แผ่นดินไหว คลื่นยักษ์ หรืออาจเกิดยืดเยื้อยาวนานเป็นชั่วโมงหรือเป็นวัน เช่นอุทกภัย วาตภัย หรืออาจเกิดขึ้นยาวนานเป็นปี เช่น โรคระบาด  ความแห้งแล้ง ผลกระทบนั้นก็ขึ้นอยู่กับชนิดของภัยพิบัติที่เกิดขึ้นเช่นกัน  นอกจากนี้  ภัยพิบัติหนึ่งยังสามารถก่อให้เกิดผลกระทบที่เกิดต่อเนื่องกันเป็นลูกโซ่ได้ เช่น การเกิดวาตภัยอาจนำมาซึ่งการเกิดอุทกภัยติดตามมาได้
3. ระยะกู้ภัย (rescue phase) ระยะนี้เป็นระยะของการช่วยชีวิตและระงับภัย โดยทำให้ภัยสงบลงโดยเร็ว หรือลดอันตรายให้น้อยลง  การกู้ภัยควรทำทันทีขณะเกิดภัยพิบัติเพื่อลดความสูญเสียให้น้อยลงหรือจำกัดความสูญเสียนั้นไม่ให้ขยายวงกว้างออกไป  งานกู้ภัยนั้นมีความแตกต่างกันตามวัตถุประสงค์และกิจกรรมที่ดำเนินการ เช่น การดับเพลิง การรื้อถอนซากปรักหักพังเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย การปฐมพยาบาลและการดูแลฉุกเฉินแก่ผู้ได้รับบาดเจ็บ  ระยะนี้เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของหน่วยงานฝ่ายปกครองทั้งในท้องถิ่นและส่วนกลางเป็นหลัก
ดังนั้น  หน่วยงานที่รับผิดชอบงานในระยะนี้ต้องได้รับการจัดการให้มีความพร้อมต่อการปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างทันเวลา  และสามารถประสานหน้าที่กันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนได้รับการสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์อย่างเพียงพอต่อการปฏิบัติหน้าที่
4. ระยะบรรเทาภัย (relief phase) ระยะนี้เป็นระยะที่ภัยเริ่มสงบหรือหมดฤทธิ์ไม่เป็นอันตรายต่อไป  งานในระยะนี้จึงเป็นการบรรเทาภัยหรือบรรเทาทุกข์ที่ประชาชนกำลังประสบอยู่โดยทีมงานจากสาขาวิชาชีพต่างๆ ทำงานร่วมกันทำการสำรวจความเสียหาย  ประเมินผลความจำเป็นรีบด่วน  กำหนดเตรียมแผนการปฏิบัติการทันที  และเริ่มดำเนินการตามแบบอย่างที่เร่งด่วน ซึ่งในช่วงแรกควรมีการจัดการแจกจ่ายปัจจัยยังชีพขั้นพื้นฐาน เช่น อาหาร น้ำดื่ม เครื่องนุ่งห่มฯ ไปสู่ผ็ประสบภัยการขนย้ายประชาชนออกนอกเขตอันตราย   การสืบเสาะและส่งผู้ประสบภัยกลับภูมิลำเนาเดิม ประสิทธิภาพของการดำเนินการบรรเทาภัยนั้นขึ้นอยู่กับการเตรียมการ  ความพร้อมของบุคลากร  วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ที่มีอยู่  ซึ่งถ้าสิ่งเหล่านี้มีความพร้อมและความเพียงพอ  การบรรเทาภัยก็ย่อมประสบความสำเร็จ
5. ระยะฟื้นฟูสภาพ (rehabilitation phase) ระยะนี้เป็นระยะหลังจากภัยพิบัติได้สงบลงไปแล้ว และได้รับการบรรเทาภัยในระยะเร่งด่วนไปแล้ว  งานในระยะนี้ควรเป็นงานในระยะยาวที่เกี่ยวกับการฟื้นฟูบูรณะสิ่งชำรุดเสียหายที่เกิดจากสาธารณภัยให้กลับคืนสู่สภาพเดิมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้  เช่น  การขจัดสิ่งปรักหักพัง  การจัดการที่อยู่อาศัย  การฟื้นฟูงานอาชีพ  การซ่อมแซมสิ่งสาธารณประโยชน์ต่างๆ
12.6 หลักทั่วไปในการจัดการสุขาภิบาลภาวะฉุกเฉิน (Disaster Sanitation) 
          12.6.1.  จัดการด้านทรัพยากรกลุ่มช่วยเหลือ
                -  หน่วยงานต่าง ๆ
                -  อาสาสมัคร
                -  เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น
                -  มูลนิธิต่าง ๆ
โดยระบุ ชื่อ-ที่อยู่-โทรศัพท์-ช่องทางติดต่อกันอย่างชัดเจน
-          กองอำนวยการของฝ่ายช่วยเหลือต่าง ๆ
-          ประสานงานระหว่างกองอำนวยการ
-          มีลำดับ-เชื่อมโยงระหว่างผู้อำนวยการและประสานงานอย่างมีแผนเพื่อขจัดความสับสน
-          ตั้งศูนย์ให้คำปรึกษาด้านสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อมในภาวะฉุกเฉิน  24  ชั่วโมง        เพื่อให้คำปรึกษาแก่เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานและประชาชน1. การจัดหาที่พักอาศัยชั่วคราว ในกรณีที่ผู้ได้รับภัยพิบัติ เช่น อัคคีภัย  วาตภัย  อุทกภัย  อพยพลี้ภัย อันทำให้ต้องไร้ที่อยู่อาศัยนั้น  จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการจัดสร้างที่พักอาศัยชั่วคราวให้แก่ผู้ประสบภัยดังกล่าว โดยที่พักอาศัยชั่วคราวนี้จำเป็นที่จะต้องมีสภาพการสุขาภิบาลขั้นมูลฐานที่จำเป็นต่อการอยู่อาศัยชั่วคราวในระยะเวลาหนึ่ง  ทั้งนี้  โดยคำนึงถึงทำเลชั่วคราวที่จะสร้างที่พักชั่วคราวนั้นควรที่จะมีความเหมาะสม  สะดวกปลอดภัยจากแหล่งที่ล่อแหลมต่อการเกิดโรคภัยไข้เจ็บ เช่น ต้องเป็นที่สูงน้ำท่วมไม่ถึง   สามารถจัดหาน้ำสะอาดได้ง่าย  สะดวกต่อการกำจัดขยะมูลฝอยและสิ่งปฏิกูล  การคมนาคมที่สะดวก 
          12.6.2.  ประเมินความต้องการช่วยเหลือเฉพาะหน้า  และบริการสาธารณะที่ถูกทำลาย เพื่อทราบถึงขนาดความต้องการ
12.6.3.  จัดสรรทรัพยากรและบริการช่วยเหลือบริการด้านสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม
1. การจัดหาน้ำสะอาดเพื่อการอุปโภค บริโภค เนื่องจากน้ำสะอาดเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตที่สำคัญ  ดังนั้น  จึงมีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนในการที่จะต้องจัดหาน้ำสะอาดเพื่อให้ผู้ประสบภัยได้บริโภค และอุปโภคในปริมาณที่เพียงพอ  ไม่ว่าจะเป็นการนำน้ำในพื้นที่ เช่น ห้วยหนอง คลอง บึง มาปรับปรุงคุณภาพโดยการประปาขั้นพื้นฐาน  หรือการต้องขนส่งน้ำจากนอกพื้นที่  เช่น   จากชุมชนเมือง มารองรับการอุปโภค บริโภคของผู้ประสบภัยซึ่งกำลังประสบความเดือดร้อนในขณะนั้น  ทั้งนี้  เพราะน้ำเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญในการดำรงชีวิตของมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง โดยทั่วไปควรต้องจัดให้มีน้ำใช้วันละ 35 แกลลอนต่อคนต่อวัน
ระยะแรกต้องการใช้น้ำดื่มที่มั่นใจว่าสะอาดสำเร็จ  คือ น้ำดื่มบรรจุขวด ขนาดที่สะดวกเหมาะแก่การใช้ดื่ม   ขวดเล็กหรือขนาดถ้วย  จำนวนมาก   หน่วยการจ่ายน้ำที่สะอาดแก่ประชาชนและเจ้าหน้าที่ผู้มาช่วยเหลือควรอยู่นอกพื้นที่แต่ไม่ห่างจนเกินไป  โดยมีพาหนะเช่น  รถบรรทุกหรือปิคอัพ  สามารถวิ่งระยะทางใกล้เข้าบริการ    พื้นที่ข้างเคียงเหมาะจะเป็นกองอำนวยการจัดจ่ายน้ำที่ หน่วยราชการที่มีรถบรรทุกน้ำ  เตรียมพร้อมเสมอเหมือนกรณีเพลิงไหม้
           2. อาหาร-ระยะแรกควรเน้นเรื่องอาหารกระป๋องที่ปลอดภัยเท่านั้น  เพื่อตัดปัญหาการปรุงซึ่งอาจมีการปนเปื้อน  ไม่สะอาด  จากคนปรุงและอุปกรณ์ภาชนะ
                      -ระยะถัดไปหลังจากที่ผู้ประสบภัยกลับสู่ที่อยู่อาศัย หรือมีการปรุงอาหารบริโภคกัน  ไม่ว่าจะปรุงเพื่อบริโภคกับคนกลุ่มเล็กหรือกลุ่มใหญ่  ต้องใช้สุขศึกษา  เรื่อง ความสะอาดคือ  ใช้น้ำสะอาด  ล้างภาชนะ
•  คนสะอาด  ล้างมือ
•  ปรุงสะอาด  สุกทั่วถึงสำคัญมาก
•  เก็บสะอาด  ป้องกันแมลง  สัตว์นำโรค
•  กินให้หมด  คือ จะได้หมดปัญหาเรื่อง เก็บอาหารไว้กิน  ถ้าเก็บควรเลือกชนิดอาหารที่ไม่เสี่ยงต่อการบูด
•  สภาพแวดล้อมบริเวณปรุงให้สะอาดให้มีภาชนะรองรับขยะ เศษอาหาร  และมีฝาปิด  หรือถุงขยะมัดปากถุง      
3. ขยะมูลฝอยของเสียในพื้นที่หลังน้ำท่วม  ย่อมมีของเสียจากทะเลขึ้นมาบนบกด้วยและของเสียจากบกลงสู่ทะเล  เพื่อน้ำทะเลพักขึ้นท่วมและกวาดทุกอย่างลงจึงเป็นการละเลงทุกอย่างลงบนพื้นผิวบริเวณกว้างบ่อน้ำใต้ดินย่อมถูกปนเปื้อนด้วยของเสีย  ซึ่งอาจเป็นทั้งเชื้อโรคและสารพิษต่าง ๆ รวมทั้งของมีคมต่าง ๆ ที่เมื่อบาดเป็นแผลแล้วจะเกิดติดเชื้อทางแผลได้
 วิธีการจัดการควรแยกบริเวณปนเปื้อนเป็นโซน ๆ และกันไม่ให้ประชาชนเข้าค้นหาสิ่งของแต่ถ้าจำเป็นควรใส่ถุงมือและสวมชุดป้องกันใส่รองเท้าบูท  หรือหาทางป้องกันการเกิดบาดแผลหรือการสัมผัสกับขยะด้วย
  -ทีมอาสาสมัครเก็บกวาดขยะมูลฝอย ก็สวมชุดป้องกันครบถ้วน  ฉะนั้นควรขอบริจาคถุงมือยางหนา  และรองเท้าบูทจำนวนมาก
  -ที่รองรับมูลฝอยเพื่อเก็บขน  เป็นไปตามมาตรฐานปฏิบัติงานปกติทางเทศบาล
  -ควรหลีกเลี่ยงการกองสุมขยะแล้วเผาในที่กลางแจ้ง ถ้าจำเป็นต้องมีผู้ดูแลใกล้ชิดป้องกันเพลิงไหม้เป็นปัญหาใหญ่ถัดไปอีก3. การกำจัดอุจจาระ เนื่องจากอุจจาระเป็นสื่อในการติดต่อของโรคระบบทางเดินอาหารได้เป็นอย่างมาก  ดังนั้น  จึงมีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนมากในการจัดสร้างส้วมที่ถูกหลักสุขาภิบาลเพื่อใช้ในการขับถ่ายเป็นการชั่วคราวแก่ผู้ประสบภัย เช่น การสร้างส้วมสนาม   หรืออาจต้องใช้รถสุขาภิบาลเคลื่อนที่ซึ่งต้องจัดให้มีจำนวน 5 - 6 ที่ต่อคน   และจัดให้อยู่ห่างจากเต๊นท์หรือที่พักแรมไม่เกิน 200 ฟุต เพื่อป้องกันปัญหาโรคติดต่อดังกล่าว  ทั้งยังเป็นการป้องกันการเห็นภาพที่ไม่น่าดูด้วยในขณะขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายด้วย
          4. สิ่งแวดล้อมในที่พักอาศัยปลอดภัยและสะอาด
            เมื่อกลับเข้าบ้าน  ตรวจดูสภาพพร้อมระวังอุบัติเหตุอันตราย  เพราะบ้านอาจไม่แข็งแรงดังเดิม  ระวังเรื่องไฟฟ้าช็อต  เพราะผ่านน้ำท่วม  ศูนย์ช่วยเหลือฟื้นฟูควรส่งช่างไฟฟ้าดูแลทั้งระบบปลอดภัยและให้คำแนะนำชาวบ้าน  เรื่องความปลอดภัยด้านไฟฟ้าในบ้าน  บ้านสะอาดต้องมีน้ำดื่มน้ำใช้สะอาด มีส้วมและรองรับขยะมิดชิดพอสมควรแก่ฐานะ   มีครัวที่สะอาดพร้อมที่เก็บอาหารมิดชิดจากแมลงและสัตว์ที่อาจนำโรค
           ความสะอาดทั่วไปจากพื้นบ้าน  ใต้ถุนบ้านและบริเวณโดยรอบควรค่อย ๆ เพิ่มภาระในก็เก็บกวาดรักษาความสะอาดจนปกติการทำความสะอาดบริเวณที่อาศัยและการกำจัดขยะมูลฝอย ในที่อยู่อาศัยชั่วคราวที่จัดไว้ให้นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการกำจัดขยะมูลฝอยที่เกิดจากการอุปโภคบริโภคของผู้ประสบภัยอย่างถูกหลักสุขาภิบาลเพื่อป้องกันการเกิดแหล่งที่เพาะโรคติดต่อต่างๆ และเป็นที่อยู่ของสัตว์นำโรคติดต่อต่างๆ อันจะก่อให้เกิดปัญหาโรคระบาดติดตามมา
5. การกำจัดน้ำเสีย  น้ำเสียซึ่งเกิดจากการอุปโภค บริโภคของประชาชนผู้ประสบภัยนั้น จำเป็นที่จะต้องได้รับการบำบัดอย่างถูกวิธีเพื่อไม่ให้เป็นแหล่งที่จะเกิดการแพร่ระบาดของโรคติดต่อต่างๆ ที่เกิดจากน้ำเป็นสื่อ  รวมทั้งเป็นที่มาของเหตุรำคาญได้โดยอาจจะทำเป็นการบำบัดแบบง่ายๆ เท่าที่จะสามารถจัดหาได้ตามสถานการณ์โดยอาจจัดทำเป็นระบบ septic tank   โดยปกติควรห่างจากค่ายพักหรือครัวประมาณ 50 ฟุต หรืออาจปล่อยให้ซึมลงพื้นดินบริเวณนั้นได้ ถ้าหากปริมาณน้ำเสียนั้นไม่มากจนเกินไป
6. การควบคุมป้องกันแมลงสัตว์แทะ  และสัตว์ร้ายเนื่องจากผ่านน้ำท่วม    อาจมีน้ำขังหลายบริเวณ  ยุงจะชุม  อาจนำโรคไข้เลือดออก ดังนั้นการนอนในมุ้งหรือบริเวณที่ป้องกันยุงได้  จะช่วยป้องกันโรคที่นำโดยยุงได้  แต่กรณีใช้ธูปกันยุงต้องระมัดระวังไฟไหม้  และสูดกลิ่นไอให้เกิดการแพ้หรือเป็นพิษขึ้นได้
      ถังขยะ  เศษอาหารต้องมิดชิดไม่เช่นนั้นจะเป็นแหล่งเพาะพันธ์  หรือชักนำมาซึ่งแมลง  และสัตว์อื่น ๆ    แมลงวันจะชุกชุมมากภายใน2สัปดาห์ ควรรีบป้องกันและกำจัดที่แหล่ง บริเวณที่อยู่อาศัยของผู้ประสบภัยนั้นอาจมีแมลงและสัตว์ที่สามารถนำโรคติดต่อต่างๆ ให้แพร่ระบาดในคนหมู่มากได้อย่างรวดเร็ว  ดังนั้น  การตรวจตราและกำจัดแมลงและสัตว์แทะเหล่านี้จึงมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการอย่างเข้มข้นมากกว่าการสุขาภิบาลในสภาวะปกติ  ทั้งการใช้วัสดุอุปกรณ์และสารเคมีกำจัดแมลงและสัตว์แทะโดยตรง  และการกำจัดแหล่งอันเป็นที่อยู่อาศัยของแมลงและสัตว์แทะเหล่านั้น
สรุป  เรื่องที่ต้องช่วยเหลือในระยะฉุกเฉิน
       1. น้ำดื่มสะอาด  น้ำขวด  ไม่ใช้ภาชนะร่วมกัน
       2. น้ำใช้เพื่อรักษาความสะอาด  ล้างมือ ประปาฉุกเฉิน
       3. อาหารปลอดภัย  อาหารกระป๋อง
       4. การกำจัดอุจจาระและล้างมือสะอาด
       5. ขยะมูลฝอยของเสียอันตราย เก็บกวาดขนหรือกองเผาฆ่าเชื้อด้วย  การฝังต้องลึกและกลบทับพอเพียง
        6. แมลง/สัตว์นำโรค  ป้องกันยุงกัดขจัดโรคไข้เลือดออก
        7. การฆ่าเชื้อบริเวณที่มีกิจกรรมเกี่ยวกับศพและการขนย้ายที่ถูกต้อง
        8. ระดมจัดการหาดสาธารณให้สะอาดโดยเฉพาะบริเวณที่ปกติน้ำเค็มท่วมไม่ถึง
        9.  เตรียมน้ำยาฆ่าเชื้อ  น้ำยาดับกลิ่น  คลอรีน  ปูนขาวให้พอเพียง
12.7การใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมในการจัดสุขาภิบาลสภาวะฉุกเฉิน
เมื่อเกิดสาธารณภัยใดๆ และทำให้ประชาชนจำนวนมากได้รับภัยพิบัติโดยกะทันหัน  ในสภาพฉุกเฉินเช่นนั้นย่อมไม่สามารถจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์  และเครื่องจักรกลใดๆ ที่เหมาะสมต่อการจัดสุขาภิบาลใดๆ ได้อย่างเพียงพอและทันที  ดังนั้น  จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่อย่างยิ่งที่จะต้องมีการคิดค้น ดัดแปลงวัสดุ อุปกรณ์เท่าที่หาได้ในท้องถิ่นหรือเท่าที่มีอยู่ในสภาวะนั้นๆ ให้สามารถใช้การได้ไปก่อนเป็นการชั่วคราว  เทคโนโลยีที่เหมาะสมต่อการจัดสุขาภิบาลในสภาวะฉุกเฉินคือ
1. การสร้างส้วมและห้องน้ำ  ในขณะที่ยังไม่สามารถสร้างส้วมซึมได้นั้น  เนื่องจากกิจวัตรของมนุษย์ที่สำคัญประการหนึ่งคือการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย  ดังนั้น  การใช้ส้วมถังเท  หรือแม้แต่การขับถ่ายลงในภาชนะบางอย่าง เช่น กระโถน หรือแม้แต่ถุงพลาสติกและใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ  เช่น  คลอรีนในการกำจัดเชื้อจึงเป็นเทคโนโลยีที่เหมาะสมในสภาวะที่ฉุกละหุกเช่นนั้น  แล้วจึงมีการนำไปกำจัดโดยการเผาทิ้งหรือฝังทีหลังอย่างถูกหลักสุขาภิบาลได้
          สำหรับการสร้างส้วมซึมไว้ใช้ในยามฉุกเฉินนั้น จำเป็นที่จะต้องใช้วัสดุที่มีความทนทานสามารถรองรับการใช้งานจากผู้ประสบภัยซึ่งมีเป็นจำนวนมากได้ในระยะเวลาหนึ่ง เช่น ซีเมนต์เป็นหลักแทนที่จะใช้วัสดุอุปกรณ์ที่สวยงามแต่ไม่สามารถรองรับปริมาณการใช้งานจำนวนมากขนาดนั้นได้  
          2. การเก็บกักขยะมูลฝอย ในการเก็บกักขยะมูลฝอยของแต่ละครอบครัวที่ประสบภัยก็เช่นเดียวกัน  ควรจัดให้มีถังพลาสติกพร้อมฝาปิดขนาดความจุ 50-100 ลิตรไว้เพื่อเก็บกักขยะมูลฝอยของแต่ละวัน  ส่วนขยะมูลฝอยชนิดเปียกนั้น  ควรใช้ถุงพลาสติกที่มีขนาดเท่ากันหรือใหญ่กว่าถังเล็กน้อยรองอีกชั้นหนึ่งภายในถังก่อนเพื่อป้องกันการรั่วไหล  และมีการเก็บรวบรวมจากทุกครอบครัวเพื่อนำไปทิ้งหรือทำลายยังสถานที่จัดไว้สำหรับทิ้งหรือทำลายโดยเฉพาะต่อไป
          3. การสร้างประปาฉุกเฉิน ประปาฉุกเฉินที่จัดสร้างขึ้นนี้ได้ถูกประดิษฐ์ขึ้นโดยกองสุขาภิบาล กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขซึ่งเป็นประปาสนาม สามารถติดตั้งและขนย้ายได้โดยสะดวก รวดเร็ว โดยวัสุดอุปกรณ์การเก็บกักน้ำ  การทำหอถังน้ำ  ได้ถูกออกแบบไว้เรียบร้อยสามารถถอดเก็บหรือติดตั้งได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว  เพราะโครงสร้างต่างๆ ทำด้วยเหล็กที่ออกแบบมาง่ายๆ ไม่สลับซับซ้อนแต่ประการใด  ส่วนที่ใช้บรรจุน้ำก็ทำด้วยผ้าใบพลาสติกที่สามารถม้วนพับได้  ท่อสำหรับจ่ายน้ำออกจากท่อประธานก็อาจเป็นท่อเหล็กหรือท่อเทฟล่อนได้
          4. การล้างบ่อน้ำและการทำลายเชื้อ ในกรณีที่เกิดอุทกภัยและได้เกิดน้ำท่วมในบ่อน้ำสำหรับอุปโภค บริโภคของประชาชน เมื่อน้ำลดแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการล้างบ่อน้ำและทลายเชื้อในบ่อน้ำเสียก่อน  โดยใช้ปูนคลอรีนละลายลงบ่อน้ำและวัดความเข้มข้นให้ได้ 50 ppm ทิ้งไว้ข้ามคืนแล้วใช้เครื่องสูบน้ำสูบน้ำในบ่อทิ้งเพื่อทำลายเชื้อโรคที่ปนมากับน้ำในบ่อ  ก่อนที่จะใช้น้ำซึ่งจะซึมออกมาในรอบต่อไป
12.8 วิธีดำเนินการจัดการสุขาภิบาลสภาวะฉุกเฉิน
          1. การเตรียมการก่อนมีเหตุการณ์เกิดขึ้น กลไกการทำงานเพื่อจัดการสุขาภิบาลสภาวะฉุกเฉินในประเทศไทยในปัจจุบันมีการดำเนินการดังต่อไปนี้
          1.1 ส่วนกลาง กระทรวงสาธารณสุขมอบหมายให้กองสาธารณสุขภูมิภาคเป็นผู้ประสานงานทั้งกับกรมกองต่างๆ ภายในกระทรวงที่เกี่ยวข้อง และหน่วยงานอื่นภายนอก  กระทรวง ทั้งภาครัฐและเอกชนตลอดทั้งเป็นกรรมการและอนุกรรมการร่วม  และกองสุขาภิบาล  กรมอนามัย  รวมทั้งศูนย์อนามัยสิ่งแวดล้อมเขต 1-9 ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบงานด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะ  จะต้องร่วมกันจัดทำแผนการล่วงหน้าโดยคาดคะเนและคาดการณ์ตามเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นแต่ละฤดูกาล เพื่อสนับสนุนและช่วยเหลือจังหวัดที่ประสบภัยพิบัติ ดังนี้
          1) จัดทำงบประมาณสำรองเพิ่มเติมจากงบประมาณปกติไว้รองรับสภาพการณ์ที่จะเกิดขึ้นเพื่อจัดสรรให้จังหวัดที่ประสบภัยได้ทันต่อเหตุการณ์
          2) จัดเตรียมวัสดุครุภัณฑ์ด้านการสุขาภิบาลและทรัพยากรสนับสนุนที่จำเป็นตลอดทั้งยานพาหนะพร้อมทั้งน้ำมันเชื้อเพลิง และน้ำมันหล่อลื่นไว้ให้พร้อม
          3) จัดตั้งศูนย์ประสานงานและเครือข่ายการสื่อสารส่วนกลางไว้ เพื่อสามารถติดต่อกับจังหวัดที่ประสบภัยได้ตลอดเวลา
          4) จัดหน่วยเฉพาะกิจไว้เพื่อเป็นการสนับสนุนด้านกำลังคนแก่จังหวัดที่ประสบภัยเท่าที่จำเป็นตามที่จังหวัดร้องขอ
          1.2 ส่วนภูมิภาค ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด  มีฝ่ายสุขาภิบาล  สำนักงานวิชาการและบริการสาธารณสุขเป็นเจ้าของเรื่อง โดยมีการเตรียมการใหญ่ๆ ดังนี้คือ
          1) ทราบข้อมูลและแหล่งน้ำครอบคลุมทุกท้องที่ของจังหวัดว่าเป็นอย่างไรเพื่อพร้อมที่หาน้ำสะอาดให้กับผู้ประสบภัยหรือผู้อพยพได้อย่างทันท่วงที  และมีเครื่องมือตรวจวิเคราะห์น้ำเคลื่อนที่พร้อมทีจะใช้งานได้ทุกโอกาสที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้น  พร้อมกันนี้จะต้องมีสารส้มและคลอรีนหรือไฮโปคลอไรด์กักตุนไว้ใช้  ซึ่งจะเป็นชนิดใดขึ้นอยู่กับเครื่องมือเครื่องใช้ที่มีอยู่  และเตรียมพร้อมไว้เพื่อปฏิบัติงานภาคสนามได้ทันที
          2) มีเครื่องสูบน้ำเคลื่อนที่ไว้ในสำนักงาน หรือถ้าหากไม่มีก็จะต้องทราบว่าสามารถจัดหาเครื่องสูบน้ำเคลื่อนที่หรือรถบรรทุกน้ำเคลื่อนที่ได้จากที่ใดบ้าง  หรือรถดับเพลิงที่มีอยู่ในท้องที่ก็สามารถนำมาใช้ในกิจการดังกล่าวได้
          3) อุปกรณ์ต่างๆ สำหรับกักเก็บน้ำสะอาดเพื่อแจกจ่ายหรือบริการแก่ประชาชน เช่น ถังบรรจุน้ำพลาสติก ถังเหล็กหรือโครงเหล็กพร้อมทั้งผ้าใบหรือผ้าพลาสติกเพื่อทำประปาฉุกเฉิน
          4) การจัดเตรียมอุปกรณ์สำหรับจัดสร้างที่พักอาศัยชั่วคราว  อย่างน้อยอาจจะเป็นเต๊นท์ผ้าใบหรือเกี่ยวกับหน่วยงานที่จะต้องขอความร่วมมือและประสานงานที่มีอุปกรณ์เหล่านี้พร้อมอยู่แล้ว เช่น กรมทหารที่มีอยู่ในจังหวัดนั้นๆ หน่วยของกรมทางหลวงภายในจังหวัด หน่วยบรรเทาสาธารณภัยที่มีอยู่ในจังหวัด เป็นต้น
          5) การติดต่อประสานงานกับหน่วยงานอื่น ที่จะช่วยให้การช่วยเหลือสนับสนุนได้ทั้งหมดที่มีอยู่ในจังหวัดนั้น  เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบจะต้องมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีที่จะเข้าไปปรึกษาหารือ  หรือพร้อมที่จะอธิบายแผนงานของตนให้หน่วยงานอื่นได้ทราบ  นอกจากนี้ ยังต้องศึกษาดูว่าแต่ละหน่วยงานจะให้ความร่วมมือและสนับสนุนงานของตนในด้านใดได้บ้าง
          6) ควรกระตุ้นให้มีคณะกรรมการด้านการจัดการสุขาภิบาลในภาวะฉุกเฉินขึ้นภายในจังหวัด ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้จำเป็นต้องมีบัญชีหรือข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับการดำเนินงานด้านสุขาภิบาล คือ
          - รายชื่อของอาสาสมัครด้านสาธารณสุขอื่นๆ หรือรายชื่อช่างสุขภัณฑ์ประจำหมู่บ้านที่ได้รับการอบรมด้านการจัดหาน้ำสะอาดและการสุขาภิบาล
          - วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ เกี่ยวกับการสุขาภิบาลที่มีอยู่ในจังหวัด ทั้งสถานที่ จำนวน การนำมาใช้ได้อย่างทันท่วงทีระหว่างที่มีภาวะฉุกเฉิน เช่น รถบรรทุก รถดับเพลิง เครื่องสูบน้ำ เครื่องมือทำประปา เครื่องมือก่อสร้าง เครื่องพ่นยาฆ่าแมลง อุปกรณ์เก็บขยะมูลฝอย และเครื่องมืออำนวยความสะดวกต่างๆ เป็นต้น
          2. การดำเนินการขณะที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้น ในขณะที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นไม่ว่าผู้อพยพจะเป็นผู้ประสบภัยชนิดใดก็ตาม  สิ่งที่จำเป็นเบื้องต้นสำหรับทุกคนคือ ปัจจัย 4 และสิ่งจำเป็นอีกประการหนึ่งก็คือ การบริการด้านการแพทย์และการสาธารณสุข  อาหารและน้ำสะอาด  ที่พักอาศัยและเครื่องนุ่งห่ม  ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขที่จะต้องจัดบริการให้นั้น  ต้องดำเนินการดังนี้คือ
          2.1 ส่วนกลาง กระทรวงสาธารณสุขมีเครือข่ายการสื่อสารโดยตรงกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ  โดยมีวิทยุของกระทรวงฯ อยู่แล้ว  ซึ่งสามารถติดต่อสื่อสารได้ตลอด 24 ชั่วโมง  ถ้าหากมีเหตุการณ์ฉุกเฉินเกิดขึ้น  ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ว่ารุนแรงมากน้อยเพียงใด  และนอกจากจังหวัดและศูนย์สุขาภิบาลเขตฯ จะรายงานข่าวสถานการณ์เข้าสู่ส่วนกลางเป็นระยะๆ ทางวิทยุของกระทรวงฯ แล้ว  ก็สามารถติดต่อทางสื่อสารอื่นได้ตามความสะดวกและเหมาะสม  เพื่อผู้มีอำนาจจะได้พิจารณาสั่งการให้ปฏิบัติตามแผนและสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดย
          1) สนับสนุนงบประมาณและทรัพยากรที่จำเป็นตามที่จังหวัดร้องขอ
          2) ประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆ ทั้งของรัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการนี้
          3) ในกรณีที่เกินกำลังความสามารถของจังหวัด  ก็จัดส่งหน่วยเฉพาะกิจเข้าไปช่วยเหลือ
          4) ติดตามประเมินผลทุกระยะ  พร้อมทั้งเตรียมการไว้ในการช่วยเหลือและสนับสนุนเพิ่มเติม
          2.2 ส่วนภูมิภาค ในจังหวัดที่มีผู้ประสบภัยนั้น สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดซึ่งเป็นหน่วยรับผิดชอบเรื่องนี้จะรายงานให้ส่วนกลางทราบ  และติดต่อรายงานทุกระยะเพื่อให้ทราบถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและได้ดำเนินการแล้ว  พร้อมทั้งขอความช่วยเหลือและสนับสนุนจากส่วนกลาง  ทั้งงบประมาณ  ทรัพยากร  กำลังคนที่เกินความสามารถของจังหวัดเท่าที่จำเป็นเพื่อให้บริการแก่ผู้ประสบภัยเหล่านั้น  และในการให้บริการด้านสาธารณสุขนั้น  นอกจากการรักษาพยาบาลแล้ว  การสร้างเสริมภุมิคุ้มกันโรคต่างๆ ตลอดทั้งเซรุ่มป้องกันพิษงูก็จำเป็นต้องจัดบริการและจัดเตรียมให้พร้อมไว้ด้วย 
          2.3 การดำเนินงานหลังจากเหตุการณ์สงบแล้ว  เมื่อเหตุการณ์ต่างๆ สงบลง ในส่วนของผู้ประสบภัยซึ่งมาจากถิ่นอื่นก็สามารถกลับคืนสู่แหล่งที่อยู่อาศัยเดิมของตนได้  ส่วนผู้ประสบภัยซึ่งเป็นคนในท้องถิ่นก็จำเป็นต้องดำเนินการช่วยเหลือตามแต่กรณี  สำหรับงานที่ต้องทำหลังจากเหตุการณ์สงบลงแล้วนั้น  มีดังต่อไปนี้
          1) ส่วนกลาง โดยเฉพาะกองช่างสุขาภิบาลและกองสาธารณสุขภูมิภาคนี้ จะต้องเก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆ ทั้งด้านงบประมาณ ทรัพยากร กำลังคน และอื่นๆ ที่ได้ให้การช่วยเหลือสนับสนุนจังหวัดที่ประสบภัยเสนอต่อผู้บังคับบัญชา  พร้อมทั้งสรุปรายงานผลการดำเนินงานตลอดทั้งปัญหา อุปสรรค ข้อขัดข้องและข้อเสนอแนะ และนำมาปรับปรุงแผนงานเพื่อดำเนินการในปีต่อๆ ไป
          2) ส่วนภูมิภาค ในทำนองเดียวกันนี้ จังหวัดที่ประสบภัยก็จะต้องรวบรวมข้อมูลทุกประเภทนำเสนอต่อกระทรวงฯ และนำมาวิเคราะห์เปรียบเทียบกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับปีก่อนๆ และทำการปรับปรุงแผนไว้รอรับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในปีต่อๆ ไปได้ถูกต้องตามระยะเวลาและฤดูกาลที่เกิดขึ้น



หนังสืออ่านเพิ่มเติม
1.เอกสารการสอนชุดวิชาบรรเทาสาธารณภัยมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 2539
2.เอกสารการสอนชุดวิชา อนามัยสิ่งแวดล้อม     หน่วยที่ 13 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 2537
3.Peter Harvey, with contrib. from Andy Bastable...[et al.] (2007). Excreta disposal in emergencies a field manual : an inter-agency publication. Loughborough: Loughborough university. Water, engineering and development centre (WEDC). p. 250. ISBN 9781843801139.
4.Jump up ^ BORDA (2010). EmSan - Emergency Sanitation - An innovative & rapidly applicable solution to safeguard hygiene and health in emergency situations. Bremen Overseas Research and Development Association (BORDA) & BORDA BNS Network