แผนการสอน
รายวิชาอนามัยสิ่งแวดล้อมและอาชีวอนามัย
บทที่
7 การสุขาภิบาลอาหาร
เนื้อหา
7.1 แนวคิดและหลักการ
7.2 นิยามและความหมาย
7.3
ความสำคัญของอาหารและการสุขาภิบาลอาหาร
7.4 หลักเกณฑ์พื้นฐานของงานสุขาภิบาลอาหาร
7.1 แนวคิดและหลักการ
อาหารมีความสำคัญต่อสิ่งมีชีวิตทุกชนิดและความต้องการอาหารของสิ่งมีชีวิตต่างก็มีความแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับกลุ่มของสิ่งมีชีวิตนั้น
ๆ มนุษย์มีความต้องการอาหารเพื่อวัตถุประสงค์ 3 ประการคือ
1.
เพื่อสร้างพลังงานในการทำงานของอวัยวะต่างๆ ของร่างกายให้เป็นไปตามปกติ2.
เพื่อให้เกิดความสดชื่นกระปรี้กระเปร่าร่าเริงผ่องใส
รวมถึงความแข็งแรงและมีความต้านทานต่อโรคภัยไข้เจ็บ3.
เพื่อการเจริญเติบโตและซ่อมแซมอวัยวะส่วนที่สึกหรอของร่างกาย สารอาหาร ( Nutrient ) ที่สำคัญซึ่งร่างกายต้องการแบ่งเป็น 6 ประเภท ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต ไขมันโปรตีน
เกลือแร่ วิตามิน และน้ำ ถ้าหากมนุษย์ได้มีการบริโภคสารอาหารทั้ง 6
ประเภทครบถ้วนและได้ตามสัดส่วนที่เหมาะสมต่อความต้องการของร่างกายจำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงคุณภาพของอาหารในด้านอื่น
ๆ อันได้แก่ ความสะอาด ( cleanliness ) ความปลอดภัย ( safe
) และความน่าบริโภค ( asethetic ) ดังนั้นการสุขาภิบาลอาหารและการโภชนาการจึงควรดำเนินการควบคู่กันไปเพื่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพอนามัยของผู้บริโภค
การสุขาภิบาลอาหารมีความเกี่ยวข้องกับการดำเนินการจัดการอาหารให้เกิดความสะอาด
ความปลอดภัย และมีความน่าบริโภค ด้วยการปรับปรุงบำรุงรักษา
และแก้ไขให้สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ในการดำเนินการจัดการอาหารในทุกขั้นตอน
7.2 จำนวนชั่วโมงเรียน ภาคบรรยาย 2 ชั่วโมง
7.3 จุดประสงค์การเรียนรู้
เพื่อให้นักศึกษาได้ศึกษาเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานการสุขาภิบาลอาหาร
เพื่อให้นักศึกษาได้ศึกษาเกี่ยวกับการดำเนินงานสุขาภิบาลสถานประกอบการ
เพื่อให้นักศึกษาได้ศึกษาเกี่ยวกับแนวทางการจัดการงานสุขาภิบาลอาหาร
เพื่อให้นักศึกษาได้ศึกษาเกี่ยวกับกฎหมายและระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับสุขาภิบาลอาหาร
7.4 จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
เมื่อนิสิตเรียนวิชานี้แล้ว
นิสิตมีความรู้ ความสามารถและทักษะ ดังนี้เพื่อให้ผู้เรียน
ทราบถึงข้อกำหนดด้านสุขาภิบาลต่าง ๆ รวมถึงข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
และหน่วยงานที่รับผิดชอบกับงานด้านสุขาภิบาลอาหาร
1.สามารถบอกถึงสุขลักษณะที่ดีของสถานประกอบการที่เกี่ยวกับอาหาร
เช่น อาหารแผงลอย ร้านอาหาร ตลาดสด โรงฆ่าสัตว์ โรงอาหาร และโรงงานอุตสาหกรรมอาหาร
2. สามารถบอกความหมาย
ความสำคัญของการสุขาภิบาลอาหาร และพิษภัยในอาหารและผลเสียต่อสุขภาพของผู้บริโภค
การปนเปื้อนและการเสื่อมคุณภาพของอาหารโดยจุลินทรีย์ ได้
2.
สามารถอธิบายสาเหตุที่ทำให้เกิดการปนเปื้อนและการเสื่อมคุณภาพของอาหาร
3. สามารถบอกและอธิบายการควบคุมและป้องกันการปนเปื้อนของอาหารจากจุลินทรีย์ได้
7.5 เนื้อหาสาระ
อาหารเป็นปัจจัยหลักอย่างหนึ่งของมนุษย์
การได้รับอาหารที่ดี มีประโยชน์จะทำให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง การสุขาภิบาลอาหารมีหลักสำคัญคือ
การทำให้อาหารสะอาดปลอดภัย รับประทานแล้วไม่ก่อให้เกิดโรคซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
การที่อาหารไม่สะอาดนั้นอาจเกิดจากการปนเปื้อนทั้งจากเชื้อโรค พยาธิ
และสารเคมีที่เป็นอันตราย โดยอาจเกิดการปนเปื้อนได้หลายขั้นตอน เช่น
ปนเปื้อนจากอาหารดิบ จากภาชนะ จากขั้นตอนการเตรียมวัตถุดิบ การปรุง การจำหน่าย
เป็นต้น สถานประกอบการที่เกี่ยวข้องกับอาหาร เช่น ร้านแผงลอย ร้านอาหาร ตลาดสด
โรงฆ่าสัตว์ โรงอาหาร และโรงงานอุตสาหกรรมอาหารจะมีข้อกำหนดด้านสุขาภิบาลที่แตกต่างกัน
และมีข้อกฎหมายที่ใช้ควบคุมแตกต่างกัน
แต่มีหลักการเดียวกันคือต้องไม่มีการปนเปื้อนของสิ่งแปลกปลอมลงในอาหารหรือมีให้น้อยที่สุด
นอกจากนี้ปัจจุบันยังมีการตั้งเกณฑ์ต่าง
ๆ ขึ้นมาหลายตัวเพื่อยกระดับมาตรฐานการผลิตและมาตรฐานความปลอดภัยของอาหาร เช่น Good
Manufacturing Practice (GMP) และ Hazard Analysis and
Critical Control Point (HACCP) มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการสุขาภิบาลอาหารหลายหน่วยงาน
เช่น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กรมอนามัย
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์บริการ ทำหน้าที่ให้การบริการ อบรม วิจัย
ส่งเสริมและพัฒนารวมถึงบังคับใช้กฎหมายเพื่อให้เกิดการสุขาภิบาลอาหารที่ดี
ภาคบรรยาย
การสุขาภิบาลอาหาร ความหมาย
และความสำคัญของการสุขาภิบาลอาหาร พิษภัยในอาหารและผลเสียต่อสุขภาพของผู้บริโภค
ขอบเขตของงานสุขาภิบาลอาหาร การปนเปื้อนและการเสื่อมคุณภาพของอาหาร
การควบคุมและป้องกันการปนเปื้อนของอาหารจากจุลินทรีย์ ด้านผู้สัมผัสอาหาร ด้านอาหาร
ด้านภาชนะและอุปกรณ์สัมผัสอาหาร
7.6 กิจกรรมการเรียนการสอน
ภาคบรรยายทำการสอนในห้องเรียนแบบบรรยาย
4 ชั่วโมง ในหัวข้อที่ 1 - 2
7.7 สื่อการเรียนการสอน
แผ่นสไลด์บรรยาย (power point) เอกสารประกอบการสอน
เอกสารประกอบการสอน ประกอบด้วยรูปภาพและตารางประกอบคำบรรยาย
7.8 การวัดผลและประเมินผล
สอบข้อเขียนกลางภาค ปลายภาค
สรุปเนื้อหาที่เรียน/ ความรู้ที่ได้รับลงสมุดบันทึกท้ายชั่วโมง
บรรยาย
บทที่
7 สุขาภิบาลอาหาร
เนื้อหา
7.1 แนวคิดและหลักการ
7.2 นิยามและความหมาย
7.3
ความสำคัญของอาหารและการสุขาภิบาลอาหาร
7.4
หลักเกณฑ์พื้นฐานของงานสุขาภิบาลอาหาร
7.1
แนวคิดและหลักการ
อาหารมีความสำคัญต่อสิ่งมีชีวิตทุกชนิดและความต้องการอาหารของสิ่งมีชีวิตต่างก็มีความแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับกลุ่มของสิ่งมีชีวิตนั้น
ๆ มนุษย์มีความต้องการอาหารเพื่อวัตถุประสงค์ 3
ประการคือ
1.
เพื่อสร้างพลังงานในการทำงานของอวัยวะต่างๆ ของร่างกายให้เป็นไปตามปกติ
2.
เพื่อให้เกิดความสดชื่นกระปรี้กระเปร่าร่าเริงผ่องใส รวมถึงความแข็งแรงและมีความต้านทานต่อโรคภัยไข้เจ็บ
3.
เพื่อการเจริญเติบโตและซ่อมแซมอวัยวะส่วนที่สึกหรอของร่างกาย สารอาหาร
( Nutrient ) ที่สำคัญซึ่งร่างกายต้องการแบ่งเป็น
6 ประเภท ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต ไขมันโปรตีน เกลือแร่ วิตามิน และน้ำ ถ้าหากมนุษย์ได้มีการบริโภคสารอาหารทั้ง
6 ประเภทครบถ้วนและได้ตามสัดส่วนที่เหมาะสมต่อความต้องการของร่างกายจำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงคุณภาพของอาหารในด้านอื่น
ๆ อันได้แก่ ความสะอาด ( cleanliness ) ความปลอดภัย (
safe ) และความน่าบริโภค ( asethetic ) ดังนั้นการสุขาภิบาลอาหารและการโภชนาการจึงควรดำเนินการควบคู่กันไปเพื่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพอนามัยของผู้บริโภค
การสุขาภิบาลอาหารมีความเกี่ยวข้องกับการดำเนินการจัดการอาหารให้เกิดความสะอาด ความปลอดภัย
และมีความน่าบริโภค ด้วยการปรับปรุงบำรุงรักษา และแก้ไขให้สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ในการดำเนินการจัดการอาหารในทุกขั้นตอน
หลักสุขาภิบาลอาหาร ประกอบด้วย
1. ความสะอาดและความปลอดภัยของอาหาร
2. อนามัยของผู้ประกอบอาหารและผู้เสิร์ฟอาหาร
3. อนามัยของการประกอบอาหารและการเสิร์ฟอาหาร
4. ความสะอาดและความปลอดภัยของน้ำ
5. การเก็บรักษาอาหาร
6. การล้าง
และเก็บภาชนะเครื่องใช้ในการปรุงอาหาร
7. การกำจัดเศษอาหาร
น้ำทิ้ง และอื่นๆ
8. การสุขาภิบาลสถานที่ประกอบอาหาร
7.2
นิยามและความหมาย
การสุขาภิบาลอาหาร ( Food
Sanitation ) หมายถึง การดำเนินการด้วยวิธีการต่าง ๆ ที่จัดการเกี่ยวกับอาหารทั้งในเรื่องของการปรับปรุง
การบำรุงรักษา และการแก้ไขเพื่อให้อาหารที่บริโภคเข้าไปแล้วมีผลดีต่อสุขภาพอนามัยโดยให้อาหารมีความสะอาด
ปลอดภัยและมีความน่าบริโภค
อาหาร หมายความว่า ของกินหรือเครื่องค้ำจุนชีวิต
ได้แก่
1. วัตถุทุกชนิดที่คนกิน
ดื่ม อม หรือนำเข้าสู่ร่างกายไม่ว่าด้วยวิธีใด ๆ หรือในรูปลักษณะใด ๆ แต่ไม่รวมถึงยา
วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท หรือยาเสพติดให้โทษ
2. วัตถุที่มุ่งหมายสำหรับใช้หรือใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตอาหาร
รวมถึงวัตถุเจือปนอาหาร สี และเครื่องปรุงแต่งกลิ่น รส
7.3
ความสำคัญของอาหารและการสุขาภิบาลอาหาร
อาหารมีความสำคัญต่อสิ่งมีชีวิตทุกชนิดและความต้องการอาหารของสิ่งมีชีวิตต่างก็มีความแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับกลุ่มของสิ่งมีชีวิตนั้น
ๆ มนุษย์มีความต้องการอาหารเพื่อวัตถุประสงค์ 3 ประการคือ
1. เพื่อสร้างพลังงานในการทำงานของอวัยวะต่างๆ
ของร่างกายให้เป็นไปตามปกติ
2. เพื่อให้เกิดความสดชื่นกระปรี้กระเปร่าร่าเริงผ่องใส
รวมถึงความแข็งแรงและมีความต้านทานต่อโรคภัยไข้เจ็บ
3. เพื่อการเจริญเติบโตและซ่อมแซมอวัยวะส่วนที่สึกหรอของร่างกาย
สารอาหาร ( Nutrient )
ที่สำคัญซึ่งร่างกายต้องการแบ่งเป็น 6 ประเภท ได้แก่
คาร์โบไฮเดรต ไขมันโปรตีน เกลือแร่ วิตามิน และน้ำ ถ้าหากมนุษย์ได้มีการบริโภคสารอาหารทั้ง
6 ประเภทครบถ้วนและได้ตามสัดส่วนที่เหมาะสมต่อความต้องการของร่างกายแล้วก็น่าที่จะมั่นใจได้ว่าจะทำให้มีสุขภาพอนามัยดีตามไปด้วยแต่ในความเป็นจริงแล้วนอกจากการบริโภคอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วนและมีสัดส่วนตามความต้องการของร่างกายแล้วจำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงคุณภาพของอาหารในด้านอื่น
ๆ อันได้แก่ ความสะอาด
( cleanliness ) ความปลอดภัย ( safe ) และความน่าบริโภค
( asethetic ) ดังนั้นการสุขาภิบาลอาหารและการโภชนาการจึงควรดำเนินการควบคู่กันไปเพื่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพอนามัยของผู้บริโภค
การสุขาภิบาลอาหารมีความเกี่ยวข้องกับการดำเนินการจัดการอาหารให้เกิดความสะอาด ความปลอดภัย
และมีความน่าบริโภค ด้วยการปรับปรุงบำรุงรักษา และแก้ไขให้สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ในการดำเนินการจัดการอาหารในทุกขั้นตอนไม่ว่าจะเป็นการคัดเลือกวัตถุดิบ
การขนส่งและการเก็บรักษาอาหารดิบ การเตรียมและการปรุงอาหาร ( การผลิตอาหาร ) และอาหารปรุงสำเร็จ ( ผลิตภัณฑ์อาหาร ) ก่อนบริโภค ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาโรคภัยไข้เจ็บอันเนื่องมาจากการบริโภคอาหารการเกิดโรคเนื่องจากอาหารเป็นสื่อนำ(Food-
borne Disease )การเกิดโรคเนื่องจากอาหารเป็นสื่อนำหมายถึงการเกิดเจ็บป่วยอันเนื่องมาจากการบริโภคอาหารที่ทำให้เกิดโรค
หนอนพยาธิหรือสารเคมีที่เป็นพิษเข้าไปในปริมาณที่มากพอที่จะทำให้เกิดอาการของโรค
1. การปนเปื้อนของจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคเนื่องจากอาหารเป็นสื่อนำ
ก .
Staphylococcus จุลินทรีย์พวก Staphylococcus มักทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษ(Food
Poisoning) Staphylococcus ที่มีความสำคัญในการทำให้อาหารเป็นพิษคือ
Staphylococcus พิษที่มันสร้างขึ้นแบ่งตามหลักของเซรุ่มวิทยาได้เป็น
6 ชนิด คือ ชนิด A, B, C1, C2, D และ E
ความเป็นพิษของแต่ละชนิดมีความแตกต่างกันและส่วนใหญ่แล้วชนิดที่ทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษนั้นมักมาจากชนิด
A เกิดการปนเปื้อนในอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ น้ำนมและผลิตภัณฑ์น้ำนม คัสตาร์ด
น้ำสลัดหรือครีมทาขนมปัง จะมีอาการ อาเจียน ท้องเสีย ปวดท้องปัญหาสำคัญในการป้องกันเชื้อดังกล่าวคือการทำลายด้วยความร้อนที่อุณหภูมิของน้ำเดือดสามารถทำลายเชื้อStaphylococcus
ได้ แต่ไม่สามารถทำลายพิษของเชื้อนี้
ข .
Clostridium botulinum จุลินทรีย์จำพวก Clostridium
botulinum มักทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษที่เรียกว่า botulism การสร้างพิษของมันจะทำลายระบบประสาทได้ (neurotoxin) แบ่งตามชนิดของการสร้างพิษตามหลักเซรุ่มวิทยาได้เป็น 7 ชนิด คือ A, B, C, D, E, F, และ G ชนิดที่ทำให้เกิดพิษในมนุษย์คือ ชนิด A, B, E,และ
F แหล่งของอาหารได้แก่ ดิน ฝุ่นละออง พืช ผัก ผลไม้ อาการของโรคคือ เส้นประสาทรอบนอก
จะค่อย ๆถูกทำลายทีละน้อย ๆ กลืนอาหารลำบาก ตาพร่าฟาง มองเห็นภาพซ้อน ท้องผูก และในที่สุด
อาจทำให้เกิดอาการหัวใจล้มเหลว แนวทาง การป้องกันโรคดังกล่าวคือ การนำอาหารมาต้มให้เดือดนานมากกว่า
5 นาที ก่อนที่จะบริโภค หรือ ไม่นำอาหารที่น่าสงสัยมาบริโภค
ค .
Clostridium Perfringens สปอร์ของเชื้อสร้างพิษภัยในเซลล์
(Enterotoxin) ทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษ แบคทีเรียชนิดนี้ มักพบในอาหารดิบ
ดิน น้ำโสโครก มูลสัตว์ ปนเปื้อนในอาหารพวกปลา เนื้อ และสัตว์ เมื่อรับเชื้อเข้าไปในปริมาณประมาณหลายล้านตัว
ต่ออาหาร 1 กรัม มีอาการตั้งแต่ ปวดท้อง ท้องเดิน และมีลมอยู่ในกระเพาะ
การป้องกันการเกิดโรค ได้แก่ การนำอาหารแช่เย็นโดยเร็ว หรือถ้าจะบริโภคเป็นอาหารร้อนต้องรักษาอุณหภูมิ
ของอาหารให้สูงกว่า 60 องศาเซลเซียสก่อนที่จะนำมาบริโภคและการปรุงหรือการประกอบอาหารควรจะต้องมีสุขวิทยาที่ดี
ง . Mycotoxin พิษของราดังกล่าวเรียกว่า Alfatoxin พิษของ
Alfatoxin อาจทำให้ตับถูกทำลายอย่างรุนแรง ทำให้มีเลือดออก ถือเป็นสารก่อมะเร็ง
มีความทนทานต่อความร้อนได้ดี มักพบในอาหารที่มีสารอาหารคาร์โบไฮเดรต อยู่ปริมาณสูง
เช่น อาหารแป้ง ข้าว ถั่วลิสง เผือก มัน
จ . Salmonella
อาการของโรค คือ มีไข้ตัวร้อน คลื่นไส้ ปวดท้องเกร็ง ท้องเสีย ปวดศีรษะ
เวียนศีรษะและอาเจียน มักพบเชื้อดังกล่าวในอาหารจำพวก เป็ด ไก่ น้ำนม ผลิตภัณฑ์ของน้ำนม
พืชผักต่าง ๆ และมะพร้าวแห้ง
ฉ .
Streptococcus เป็นแบคทีเรียซึ่งทำให้มนุษย์เป็นโรคเจ็บคอ (septic
sore throat ) หรือ เป็นโรคไข้อีดำอีแดง (scarlet fever ) มีอาการคอแดง ทอนซิลอักเสบ กลืนอาหารลำบาก มีไข้สูง ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียนมีน้ำมูกไหล
บางครั้งอาจเกิดผื่น ( ลมพิษ ) พบในอาหารประเภท
นม ไอศกรีม กุ้งอบไอน้ำ สลัด คัสตาร์ด พุดดิ้งหรืออาหารที่มีไข่หรือนมเป็นส่วนผสม วิธีการป้องกันไม่ให้เกิดโรค
ได้แก่ การแช่แข็งอาหารไนปริมาณน้อย ๆทันที การประกอบอาการหรือปรุงอาหารต้องมีสุขวิทยาที่ดี
ช . Vibrio
paraheamolyticus พบมากในอาหารทะเล ได้แก่ หอยนางรม กุ้ง ปู อาการของโรค
คือปวดท้อง ท้องเสีย (อุจจาระอาจมีเลือดหรือเยื้อปนเปื้อนอยู่
) มักมีอาการคลื่นไส้ และอาเจียน มีไข้ต่ำ มีอาการหนาวสั่น ปวดศีรษะ
อาการปัสสาวะขัด การป้องกันไม่ให้เกิดโรคดังกล่าวได้แก่ การปรุงอาหารให้สุกอย่างทั่วถึง
การแช่เย็นอาหารควรแช่โดยปริมาณน้อย ๆ ไม่ควรใช้น้ำทะเลล้างอาหารที่ต้องการบริโภคดิบ
และภาชนะอาหาร
2. การเกิดโรคเนื่องจากอาหารมีหนอนพยาธิ
หนอนพยาธิแบ่งเป็น 3 ประเภท คือพยาธิตัวแบน พยาธิตัวกลม และพยาธิใบไม้ พยาธิตัวแบนและพยาธิใบไม้สามารถป้องกันไม่ให้เกิดโรคได้ง่ายกว่า
เพราะสามารถใช้ความร้อนในการทำลาย พยาธิตัวกลมที่นับว่าเป็นปัญหาสำคัญที่มักปนเปื้อนในอาหาร
ได้แก่ ทริคิเนลล่า สไปราลิส (Trichinella spiralis ) เพราะมีความทนทานต่อความร้อนได้สูงมากและมีความสามารถมีชีวิตอยู่ในเนื้อเยื้อของสิ่งมีชีวิตได้เป็นเวลายาวนานกว่า
3. การเกิดโรคเนื่องจากอาหารมีสารพิษหรือสารเคมีเป็นพิษ
ก . สารพิษที่มีในอาหารโดยธรรมชาติ
อาหารในธรรมชาติมีหลายชนิดที่มีสารที่ไม่เกิดประโยชน์หรืออาจเกิดโทษต่อมนุษย์เป็นองค์ประกอบ
โดยเฉพาะอาหารจำพวกพืชหลายชนิดมีสารพิษเป็นองค์ประกอบอยู่มากบ้าง น้อยบ้างแล้วแต่ชนิดของอาหารถ้ามีปริมาณมากก็อาจจะทำให้ผู้บริโภคเข้าไปถึงขั้นตายได้ในทันที
สารพิษหรือสารเคมีเป็นพิษที่มักมีอยู่ในอาหารจำพวกพืช ได้แก่ สาร Lythylus ทำให้เกิดโรค lythyrism คือโรคที่เกี่ยวกับกล้ามเนื้ออ่อนแออาจเกิดจากอัมพาตได้
อาจมีในถั่วเม็ดกลมดิบ เช่น ถั่วลันเตาดิบ สาร Goitrogens ที่อาจะพบในรากของพืชบางชนิด
หรือสารไฮโดรเจนไซนาไนด์อาจพบในอาหารพืชบางชนิด เช่น ในน้ำมันของเมล็ดอัลมอนและในอาหารพืชหลายชนิด
ได้แก่ การบริโภคเห็ดป่าบางชนิด เช่น เห็ดหัวกรวดครีบเขียว เห็ดขี้ควาย เมื่อบริโภคจะมีอาการมึนเมา
คลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วง ตาลาย ใจสั่น และอ่อนเพลีย ส่วนอาหารที่มาจากพวกสัตว์ที่มักมีสารพิษทำให้เกิดอันตรายก็มักจะเป็นพวกอาหารทะเลอาจมีสารไทอะมิเนส
ซึ่งอาจทำลายไทอะมิน ทำให้ร่างกายขาดวิตามินบี 1
ข . การมีสารพิษหรือสารเคมีเป็นพิษปนเปื้อนในอาหาร
การปนเปื้อนนั้นอาจเกิดตั้งแต่การเพาะปลูก
ตัวอย่างเช่น ในการปลูกผลไม้ที่ต้องการบริโภค หากมีการใช้ยาฆ่าแมลงจนมีสารตกค้างของยาฆ่าแมลงอยู่และผู้บริโภคไม่ล้างให้สะอาดจนกระทั่งไม่มีสารดังกล่าวแล้วอาจเกิดอันตรายได้
เช่น ตัวอย่างของโรคพิษของสารหนู ซึ่งมีสาเหตุมาจากบริโภคอาหารที่มีสารตกค้างจากการใช้ยาฆ่าแมลง
ซึ่งจะทำให้เกิดอาการท้องเสีย ปวดเบ่งเวลาถ่าย และอาเจียนนอกจากนี้สารปนเปื้อนอาจจะเกิดจากการใช้วัตถุเจือปนหรือสารปรุงแต่งที่มีสารพิษหรือสารเคมีเป็นพิษตัวอย่างเช่นการใช้สารแซ็กคารินแทนน้ำตาลเพื่อเพิ่มความหวานในอาหารหรือการใช้สีย้อมผ้าแทนสีผสมอาหารเหล่านี้ล้วนแต่ไม่ทำให้เกิดประโยชน์และยังอาจเกิดโทษหากมีการบริโภคในปริมาณที่อาจทำอันตรายได้
7.4 หลักเกณฑ์พื้นฐานของงานสุขาภิบาลอาหาร
ในการจัดการสุขาภิบาลกับสถานที่ที่จะต้องใช้ในการประกอบอาหารหรือผลิตอาหาร
ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ที่จะใช้ประกอบอาหารเพื่อการบริโภคภายในครอบครัว ร้านอาหาร ตลาด
หรือโรงงานอุตสาหกรรมอาหารจำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงเกณฑ์ในการจัดการสุขาภิบาลขั้นพื้นฐานดังนี้คือ
1. สถานที่ตั้ง สถานที่ตั้งของสถานที่ประกอบหรือผลิตอาหารจะต้องเลือกบริเวณที่จะไม่ทำให้สิ่งแวดล้อมของสถานที่ตั้งได้รับการปนเปื้อนจากสิ่งสกปรก
ไม่ก่อให้เกิดปัญหาเดือดร้อน รำคาญอันเนื่องมาจากกลิ่น เสียง สถานที่ตั้งควรมีลักษณะดังนี้
1.1 ควรตั้งอยู่ในบริเวณที่ห่างไกลจากแหล่งสิ่งสกปรกต่าง
ๆ เช่น ห้องครัวควรอยู่ห่างจากห้องส้วมหรือบริเวณที่ทิ้ง หรือเก็บกักหรือโรงงานกำจัดขยะมูลฝอย
หรือบริเวณคอกเลี้ยงสัตว์
1.2 ควรอยู่ใกล้สถานที่ที่มีสาธารณูปโภคบริการอย่างครบถ้วน
เพื่อสะดวกต่อการทำความสะอาดเช่น บริการน้ำประปา บริการไฟฟ้า บริการรวบรวมและกำจัดขยะมูลฝอย
และบริการรวบรวมน้ำเสียเพื่อนำไปบำบัดและกำจัด
1.3 พื้นที่ที่ใช้ในการประกอบหรือผลิตอาหารจะต้องมีความเพียงพอและเหมาะสม
ควรแยกเป็นสัดส่วน ออกจากบริเวณอื่นโดยเฉพาะบริเวณที่พักอาศัย และพื้นที่จะต้องสร้างโดยมีความลาดเอียงเพื่อช่วยการระบายน้ำเสียจากการประกอบอาหาร
และจะต้องไม่เป็นที่ลุ่มมีน้ำขัง
2. ตัวอาคารที่ใช้เป็นสถานที่ประกอบอาหาร การออกแบบอาคารที่ใช้ประกอบอาหารจะต้องคำนึงถึงความมั่นคงแข็งแรงของตัวอาคารและสามารถดูแลบำรุงรักษาได้ง่าย
โดยมีข้อควรคำนึงถึงดังนี้คือ
2.1 การออกแบบและก่อสร้างห้องครัวหรือสถานที่ที่ใช้ในการประกอบอาหาร
ต้องทำให้มีประตูหน้าต่าง และผนังที่อยู่ด้านนอกอาคารมีความเหมาะสมเพื่อไม่ให้เกิดเป็นที่อยู่อาศัยของแมลงและสัตว์นำโรค
2.2 วัสดุที่ใช้ในการสร้างอาคาร
ไม่ว่าจะเป็น ผนัง เพดาน ประตู หน้าต่างหรือช่องลม ควรเป็นวัสดุที่เรียบ ทำความสะอาดง่าย
มีความแข็งแรง
2.3 พื้นของอาคารที่ใช้ในการประกอบหรือปรุงอาหาร
จะต้องทำด้วยวัสดุที่แข็งแรงไม่ดูดซับน้ำ มีความทนทานต่อการกัดกร่อนของสารเคมี ทำความสะอาดง่าย
ไม่ลื่น พื้นผิวเรียบไม่ขรุขระ และควรมีความลาดเอียงเพื่อไม่ให้มีน้ำขัง
2.4 ต้องจัดสถานที่ทำงานให้มีความพอเพียงและเหมาะสม
โดยให้มีพื้นที่ปฏิบัติงานการทำอาหารให้พอเพียงกับปริมาณอาหารหรือจำนวนคนปฏิบัติงาน
รวมถึงเครื่องจักรอุปกรณ์
2.5 ต้องจัดให้มีการระบายอากาศที่เพียงพอและเหมาะสม
เพื่อไล่ควันหรือกลิ่นที่เกิดจากการปรุงหรือประกอบอาหารให้ออกไปในทันที โดยให้มีพื้นที่ของประตูและหน้าต่างและช่องระบายลมไม่น้อยกว่า
10เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ห้อง และเมื่อจัดให้มีระบบการระบายอากาศภายในสถานที่ประกอบหรือปรุงอาหารแล้วควรดำเนินการบำรุงรักษาอุปกรณ์ที่ใช้ในการระบายอากาศให้อยู่ในสภาพดีอยู่เสมอไม่ให้ฝุ่นละออง
สิ่งสกปรกปนเปื้อนอื่น ๆ จับอยู่ที่อุปกรณ์
2.6 ต้องจัดให้มีแสงสว่างที่เหมาะสม
เพื่อการป้องกันอุบัติเหตุและลดอาการเมื่อยล้าของร่างกาย
3. การปฏิบัติงานประกอบอาหารหรือการผลิตอาหารที่ปลอดภัยจากเชื้อโรคหรือสารพิษใด
ๆ เริ่มตั้งแต่
1. การเตรียมอาหาร 2. การผลิตอาหาร 3. การบรรจุอาหารหรือผลิตภัณฑ์อาหาร การปฏิบัติให้เกิดการปลอดเชื้อโรคหรือสารพิษใด
ๆ ทั้ง 3 ขั้นตอนกล่าวได้แก่
3.1 การปฏิบัติให้มีการควบคุมและเก็บวัตถุดิบที่ดี
มีขั้นตอนการปฏิบัติดังนี้
ก. วัตถุดิบที่เลือกนำมาใช้ต้องเลือกจากแหล่งที่เชื่อถือได้ หรือเป็นเป็นวัตถุดิบที่ผ่านการคัดเลือกมาตามมาตรฐาน
ข. ต้องมีการวินิจฉัย การรักษาและการแยกวัตถุดิบที่เป็นโรคหรืออาจมีสารพิษออกจากวัตถุดิบที่ดี
เพื่อป้องกันไม่ให้แพร่กระจายโรคหรือสารพิษมาสู่มนุษย์หรือเพื่อไม่ให้วัตถุดิบที่ดีอื่น
ๆ ถูกทำลาย ควรเลือกแต่วัตถุดิบที่มีคุณภาพหรือมีสุขภาพดี
ค. อาจต้องมีการใช้สารฆ่าแมลงและสารฆ่าราเป็นระยะ ๆ เพื่อไม่ให้วัตถุดิบโดยเฉพาะที่เป็น
พืชถูกทำลาย หรือเพื่อไม่ให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อโรค หรือทำการป้องกันไม่ให้แมลง
นก หนู เข้าไปในห้องเก็บวัตถุดิบแต่ต้องใช้ด้วยความระมัดระวังเพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อคนงานหรือผู้บริโภค
ง. การเก็บวัตถุดิบต้องมีพื้นที่ขนาดพอเพียง วัตถุประสงค์คือ
- เพื่อให้เกิดการระบายความเย็นให้แก่วัตถุดิบที่สามารถเก็บไว้ได้ต่อเนื่อง
- เพื่อให้สามารถทำความสะอาดและทำลายเชื้อโรคได้สะดวกและมีประสิทธิภาพดี
- ต้องหมั่นตรวจสอบวัตถุดิบอยู่เสมอเพื่อให้ได้วัตถุดิบที่จะนำไปใช้ที่ดี
3.2 การจัดหาน้ำที่มีคุณภาพดีใช้ในการประกอบอาหาร
น้ำที่ใช้ในการประกอบอุตสาหกรรมอาหารจะต้องมีคุณสมบัติเทียบได้กับคุณสมบัติของน้ำสะอาดเพื่อการบริโภคเป็นอย่างต่ำ
โดยจะต้องพิจารณา
ก. น้ำที่จะนำมาใช้ต้องเป็นน้ำที่มาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ และสามารถใช้ได้ทั้งน้ำร้อนและน้ำเย็นตามความต้องการและปริมาณที่ไม่จำกัด
ตัวอย่างของน้ำจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ได้แก่ น้ำประปาของการประปานครหลวงหรือประปาภูมิภาค
ซึ่งมีการตรวจสอบคุณภาพเป็นประจำสม่ำเสมอว่ามีความสะอาดปลอดภัย
ข. จัดหาน้ำที่มีคุณภาพดีใช้ในการประกอบอาหารหรือตามประเภทของอาหารที่ผลิต การใช้น้ำสำหรับประกอบอาหารอาจแบ่งวัตถุประสงค์ของการใช้น้ำได้หลายอย่าง
ได้แก่ การปรุงอาหาร การล้างภาชนะอุปกรณ์สัมผัสอาหาร การนำของเสียหรือสิ่งสกปรกออกจากห้องครัวหรือจากร้านค้าหรือโรงงานอุตสาหกรรมอาหาร
และการบริโภคของผู้ประกอบอาหารหรือคนงาน โดยทั่วไปแล้วคุณภาพน้ำในการประกอบอาหารต้องมีคุณสมบัติของน้ำสะอาดเพื่อการบริโภคเป็นอย่างต่ำ
3.3 ดำเนินการป้องกันการปนเปื้อนของอาหารในทุก
ๆ ขั้นตอนของการประกอบอาหารหรือกระบวนการผลิตอาหาร
ก. เครื่องมืออุปกรณ์ ( Equipments ) เครื่องใช้ที่ใช้ในการประกอบอาหารจะต้องมีความพอเพียงและเหมาะสมกับการใช้งานเพื่อป้องกันการปนเปื้อนอาหาร
ต้องเป็นวัสดุที่ทำความสะอาดง่าย มีพื้นผิวเรียบ ทำด้วยวัสดุไร้สนิม และไม่มีสารพิษเคลือบหรือเป็นองค์ประกอบ
ข. บุคลากรหรือคนงานผู้ต้องสัมผัสอาหาร จะต้องเป็นผู้ที่มีสุขวิทยาส่วนบุคคลที่ดีเพื่อป้องกันการปนเปื้อนอาหารหรือการแพร่กระจายโรค
โดยจะต้องคำนึงถึงเรื่องต่อไปนี้คือ
- จัดหาน้ำสะอาดให้ผู้ที่จะต้องสัมผัสอาหารใช้
จะต้องเป็นน้ำที่สะอาดได้มาตรฐานน้ำดื่มซึ่งหน่วยงานสาธารณสุขของรัฐเป็นผู้กำหนด
- ให้คำแนะนำเรื่องสุขวิทยาส่วนบุคคล
เพราะถ้าสุขวิทยาส่วนบุคคลของผู้สัมผัสอาหารไม่ดีแล้วก็ย่อมจะทำให้อาหารเกิดการปนเปื้อนสิ่งสกปรกหรือเชื้อโรคได้
- จัดให้มีอุปกรณ์ทำความสะอาดให้แก่ผู้สัมผัสอาหารใช้ได้อย่างสะดวกและเหมาะสม
เช่น ห้องอาบน้ำ อ่างล้างมือ ตู้เก็บเสื้อผ้า เพื่อไม่ให้ร่างกายหรือเครื่องนุ่งห่มเกิดความสกปรกในขณะที่ต้องทำการสัมผัสอาหาร
- จัดให้มีสิ่งแวดล้อมที่มีความเหมาะสมต่อการปฏิบัติงาน
ได้แก่ แสงสว่าง การระบายอากาศอุณหภูมิ และความสะอาดของสถานที่ที่ใช้ในการประกอบอาหาร
ค. แมลงและสัตว์นำโรคที่มักก่อปัญหาในโรคอาหารเป็นสื่อนำนี้ ได้แก่ แมลงวัน แมลงสาบ
มด หนู นก สุนัข ในการป้องกันและควบคุมแมลงและสัตว์นำโรคนั้นสามารถกระทำได้หลายวิธีการดังนี้
คือ
1) การออกแบบและการก่อสร้างสถานที่ประกอบอาหารจะต้องมีโครงสร้างที่สามารถป้องกันไม่ให้แมลงและสัตว์นำโรคเข้าสู่ภายในอาคารได้
2) ระบบการเดินท่อภายในอาคาร
จะต้องไม่มีช่องว่างใด ๆเพื่อไม่ให้เป็นช่องทางที่แมลงและสัตว์ใช้เป็นช่องทางสามารถเข้าสู่ตัวอาคารได้
3) หน้าต่าง และช่องระบายอากาศจะต้องมีตาข่ายที่ปิดแน่น
และจะต้องได้รับการบำรุงรักษาให้อยู่ในสภาพที่ดีไม่ฉีกขาด
4) ประตูที่เข้า-ออกตัวอาคารจะต้องปิดแน่น และจะต้องคงอยู่ในสภาพที่ปิดอยู่เสมอเมื่อไม่มีการเข้า-ออกสู่ตัวอาคาร
3.4 การให้คำแนะนำและควบคุมการเก็บรักษาอาหารหรือการบรรจุผลิตภัณฑ์อาหาร
ต้องให้คงอยู่ในสภาพที่สะอาดปราศจากสิ่งปนเปื้อนอื่นใดที่ไม่ต้องการโดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องปราศจากการปนเปื้อนของจุลินทรีย์
ซึ่งการเก็บอาหารไว้ให้อยู่ในสภาพที่ดีมีคุณภาพของอาหารครบถ้วนจะต้องปฏิบัติดังนี้คือ
1) การเก็บอาหารควรเก็บไว้ในภาชนะที่สะอาดมีฝาปิดมิดชิด
และควรเก็บอาหารไว้ในที่สูงจากพื้น เพื่อป้องกันการกระเด็นเปรอะเปื้อนและไม่ให้เกิดการปนเปื้อนอื่น
ๆ
2) การเก็บอาหารที่ปรุงสุกแล้วหรือผลิตภัณฑ์อาหารจะต้องทำการเก็บรักษาแยกออกจากวัตถุดิบที่ยังไม่ได้ปรุงหรือล้างทำความสะอาดแล้วเพื่อป้องกันการปนเปื้อนอาหาร
3) การเก็บรักษาอาหารที่ปรุงสุกหรือผลิตภัณฑ์อาหารเมื่อยังไม่นำมาบริโภคจะต้องเก็บไว้ในสถานที่ที่สามารถป้องกันการปนเปื้อนจากสิ่งสกปรกต่าง
ๆ
4) การเก็บรักษาอาหารหรือผลิตภัณฑ์อาหารจะต้องไม่เก็บรักษาไว้ในที่ที่เปียกชื้นและไม่เก็บไว้ในภาชนะที่มีความชื้นหรืออยู่ในลักษณะเปียก
4. การจัดการความสะอาดและการสุขาภิบาลทั่ว
ๆ ไปในสถานที่ที่ใช้ในการประกอบอาหาร
4.1 การทำความสะอาดภาชนะอุปกรณ์และพื้นผิวสัมผัสอาหาร
มีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ
ก. เพื่อกำจัดเศษอาหารหรือสิ่งสกปรกอื่น ๆ ที่อาจจะมีสารพิษหรือจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคหรือสิ่งปนเปื้อนอื่น
ๆ ให้ออกไปให้หมด
ข. เพื่อเป็นการรักษาความสะอาดสิ่งแวดล้อมและเป็นการส่งเสริมให้ผู้ที่จะต้องสัมผัสอาหารเกิดความตระหนักในเรื่องของสุขวิทยาส่วนบุคคลที่ดี
4.2 การดูแลความสะอาดเรียบร้อยของสถานที่ประกอบอาหารโดยมีวัตถุประสงค์หลัก
4ประการ
ก. เพื่อไม่ให้กลายเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของแมลงและสัตว์นำโรค
ข. เพื่อไม่ให้มีของเสียสะสมอยู่อันจะเป็นสาเหตุของการแพร่กระจายเชื้อโรคหรือจุลินทรีย์ที่อาจจะทำลายให้วัตถุดิบหรืออาหารเสื่อมเสียคุณภาพ
ค. เพื่อไม่ให้เครื่องจักรอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่อยู่ภายในสถานที่ประกอบการเกิดการผุกร่อนหรือถูกทำลาย
ง. เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมในสถานที่ประกอบอาหารให้มีความสะอาดเป็นการส่งเสริมให้เกิดสุขวิทยาส่วนบุคคลที่ดีของผู้ปฏิบัติงานอยู่ภายในสถานที่ดังกล่าว
4.3 การบำบัดและการกำจัดของเสีย
การประกอบอาหารมักจะต้องเกิดของเสียไม่ว่าจะเป็นของเสียที่อยู่ในรูปกลิ่น ซึ่งมาจากการ
ทอด ต้ม ปิ้ง อบ จึงจำเป็นต้องทำการควบคุมและป้องกันอาจด้วยการใช้การระบายอากาศ ของเสียอาจเกิดในรูปของของเหลวได้แก่
น้ำเสียจากการประกอบอาหาร น้ำเสียจากการล้างวัตถุดิบ น้ำเสียจากการล้างอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้หรือภาชนะใส่อาหาร
จึงจำเป็นที่จะต้องมีการบำบัดและกำจัด
5. การควบคุมคุณภาพของวัตถุดิบ ผลิตภัณฑ์อาหารและสารปรุงแต่งการควบคุมคุณภาพของวัตถุดิบ
ผลิตภัณฑ์อาหารหรืออาหารที่ผ่านการปรุงเพื่อการบริโภครวมถึงสารปรุงแต่งที่จะนำมาใช้ในการประกอบอาหารมีความสำคัญต่อคุณภาพของอาหารเป็นอย่างมาก
ซึ่งคุณภาพของอาหารนั้นต้องมีการเลือกวัตถุดิบและสารปรุงแต่งที่มีคุณภาพและทำการควบคุมไม่ให้เกิดการเสียคุณค่าหรือไม่ให้เกิดการปนเปื้อนก่อนที่จะนำมาใช้
เมื่อนำสารปรุงแต่งและวัตถุดิบที่มีคุณภาพมาใช้ในการประกอบอาหารด้วยกรรมวิธีที่ถูกต้อง
เหมาะสมและมีการป้องกันการปนเปื้อนในระหว่างการประกอบอาหารเป็นอย่างดีแล้วจะทำให้อาหารที่ปรุงหรือผลิตเสร็จเรียบร้อยแล้วมีคุณภาพดี
แต่ถ้านำอาหารที่ประกอบเสร็จเรียบร้อยแล้วใช้
บริโภคทันทีด้วยการใส่ในภาชนะที่สะอาดปราศเชื้อโรคและสารพิษก็ย่อมที่จะทำให้เกิดประโยชน์
แต่หากนำมาเก็บรักษาไว้เพื่อรอการบริโภคในระยะเวลาหนึ่งจำเป็นที่จะต้องทำการเก็บรักษาไว้ให้เกิดความสะอาดและปลอดภัยจนกว่าที่จะนำมาใช้ในการบริโภค
6. สุขวิทยาส่วนบุคคล แหล่งของการปนเปื้อนที่สำคัญที่จะทำการแพร่กระจายโรคผ่านทางอาหารสุขวิทยาส่วนบุคคล ( hygiene ) หมายถึงคนที่มีความสะอาด มีพฤติกรรมที่สะอาด และมีสุขภาพอนามัยดี
6.1 ความสะอาดส่วนบุคคล
( Personal Cleanliness ) ความสะอาดส่วนบุคคล หมายถึง การแต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรือเครื่องแต่งกาย
และมีร่างกายที่สะอาด ผู้ที่จะประกอบอาหารหรือมีส่วนที่จะต้องสัมผัสอาหารควรจะต้องแต่งกายให้สะอาดอยู่เสมอและรักษาร่างกายให้สะอาดปราศจากสิ่งสกปรกเปรอะเปื้อนใด
ๆ จึงควรมีผ้าคลุมผมและผ้าปิดปากที่สะอาด
6.2 พฤติกรรมที่สะอาด
( Personal Hygiene Habit ) พฤติกรรมที่จำเป็นจะต้องฝึกปฏิบัติให้เกิดความเคยชินมีดังนี้
ก. การล้างมือให้สะอาด ในหลายกรณีได้แก่
- การล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำอุ่นก่อนทำงานและหลังจากเสร็จสิ้นการทำงานในแต่ละครั้ง
- การล้างมือซ้ำหลังจากที่มือได้สัมผัสกับสิ่งสกปรกในระหว่างการทำงาน
เช่น เมื่อสัมผัสกับวัตถุดิบ การดื่มน้ำหรืออาหารอื่น ๆ การสูบบุหรี่ การสั่งน้ำมูก
การเข้าห้องน้ำ
ข. ในขณะปฏิบัติงานควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่จะทำให้เกิดความไม่สะอาดเรียบร้อย
เช่น การแคะจมูกหรือปาก การหวีผม การสูบบุหรี่ การสั่งน้ำมูก
ค. ต้องพยายามไม่ใช้มือสัมผัสอาหาร ควรใช้เครื่องมืออุปกรณ์ที่สะอาดในการจับต้องหรือสัมผัสอาหาร
เช่น การใช้ช้อน ส้อม คีม เครื่องหั่น กระดาษฟรอยด์ หรือพลาสติก
ง. การไอหรือจามต้องระมัดระวังด้วยการใช้ผ้าปิดปากและล้างมือให้สะอาดและถ้าเป็นไปได้ควรจะออกไปไอหรือจามให้ห่างจากบริเวณที่จะต้องใช้ในการสัมผัสอาหาร
6.3 สุขภาพอนามัยของผู้ที่จะต้องสัมผัสอาหาร
ผู้ที่จะต้องสัมผัสอาหารจะต้องกระทำตนให้เป็นผู้ที่มีสุขภาพดีอยู่เสมอ ถ้าหากเกิดการเจ็บป่วยด้วยโรคติดต่อซึ่งอาจแพร่กระจายโรคสู่อาหารหรือหากทราบว่าจะเป็นพาหะนำโรคจะต้องไม่ปฏิบัติงานในบริเวณที่ผลิตอาหารหรือสัมผัสกับอาหารโดยเด็ดขาด
เช่น เป็นแผลหนอง ถูกน้ำร้อนลวก ท้องเสีย เจ็บคอ โรคระบบทางเดินหายใจ หรือโรคดีซ่าน
ควรให้มีการตรวจสุขภาพผู้ที่จะต้องสัมผัสอาหาร ถ้าเป็นผู้ที่ต้องปฏิบัติงานในร้านอาหารหรือโรงงานอุตสาหกรรมอาหารจะต้องมีการตรวจสุขภาพก่อนที่จะให้ทำงาน
และให้มีการตรวจเป็นระยะในระหว่างปฏิบัติงาน เช่น ทุก ๆ 6 เดือน
หรือ 1 ปี หากพบว่าเกิดการเจ็บป่วยด้วยโรคติดต่อจะต้องได้รับการรักษาให้หายก่อนจึงค่อยให้มาปฏิบัติหน้าที่ดังเดิม
กิจกรรมที่
1 การฝึกปฏิบัติงานด้านการสุขาภิบาลอาหาร
ให้ผู้ศึกษาระบุชนิดของเชื้อโรคที่มีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนเชื้อโรคและลักษณะอาการป่วยของอาหารชนิดต่างๆที่มีขายบริเวณตามริมทางเท้า
หรือบริเวณฟุตบาตรข้างถนน ของอาหารต่อไปนี้
ชนิดอาหาร
|
ชนิดของเชื้อโรค
|
ลักษณะอาการป่วย
|
1.ส้มตำ
|
||
2.หมูปิ้ง
|
||
3.ไส้กรอกทอด
|
||
4.ผลไม้รถเข็น
|
||
5.ขนมจีนน้ำยา
|
||
6.ลูกชิ้นทอด
|
||
7.รถขายเครป
|
||
8.ไอสครีมรถเข็น
|
||
9.ก๋วยเตี๋ยวน้ำตก
|
||
10.กาแฟน้ำอัดลม
|
แบบฝึกหัดบทที่
7
1.จงบอกหลักเกณฑ์ในการจัดการสุขาภิบาลอาหาร
สำหรับสถานที่จำหน่ายอาหารของวิทยาลัยฯ
สถานที่
|
|
อาคาร
|
|
การประกอบอาหาร
|
|
สุขาภิบาลความสะอาด
|
|
คุณภาพวัตถุดิบ
|
|
สุขวิทยาส่วนบุคคล
|
|
2.จงอธิบาย การปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรคทางเดินอาหารประกอบด้วยเชื้ออะไรบ้างที่เป็นตัวการสำคัญ
ชนิดเชื้อ
|
พบในอาหารจำพวก
|
ทำให้เกิดอาการ
|
Staphylococcus
|
||
Clostidium botulinum
|
||
Clostidium perfringens
|
||
Mycotoxcin
|
||
Salmonella
|
||
Streptococcus
|
||
Vibrio paraheamolyticus
|
3.ถ้าชาวบ้านนิยมซื้อจากตลาดนัดในหมู่บ้านมารับประทานโดยเฉพาะอาหารปรุงสำเร็จซึ่ง
สะดวกมีราคาถูกและสะดวกต่อการบริโภค
ท่านจะมีหลักการเลือกซื้ออาหารแต่ละชนิดเพื่อให้ได้อาหารบริโภคที่สะอาดและปลอดภัยได้อย่างไร
จากอาหารต่อไปนี้
3.1อาหารสด
เช่นเนื้อสัตว์ ผักสด ขนมจีน เส้นก๋วยเตี๋ยว ผลไม้ ปลาสด อาหารทะเล
3.2อาหารแห้ง
เช่นพริกแห้ง กระเทียม หอม ไข่เค็ม ข้าวสาร
3.3น้ำมันพืช
น้ำมันสัตว์ น้ำพริก น้ำปลา น้ำส้ม
3.4อาหารปรุงสำเร็จ
เช่นกับข้าวถุง หมูทอด ปลาทอด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น