แผนการสอน
รายวิชาอนามัยสิ่งแวดล้อม
บทที่
8 การสุขาภิบาลที่พักอาศัยและสถานทำการ
หัวข้อ
8.1 ความหมายของการสุขาภิบาลที่พักอาศัยและสถานทำการ
8.2 ความสำคัญของที่พักอาศัย และสถานทำการต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์
8.3 ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานสุขาภิบาลที่พักอาศัย
8.4 ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานสุขาภิบาลสถานทำการ
8.5 หลักการสุขาภิบาลที่พักอาศัย
8.5.1การจัดที่พักอาศัยให้ได้ตามความต้องการขั้นมูลฐานทางสรีรวิทยา
8.5.2 การจัดที่พักอาศัยให้ได้ตามความต้องการขั้นมูลฐานทาง
8.5.3 ด้านการป้องกันโรคติดต่อ
8.5.4 ด้านการป้องกันอุบัติเหตุ
8.5.5 ด้านการป้องกันเหตุรำคาญ
8.6 การดูแลรักษาความสะอาดห้องน้ำ
8.7การติดตั้งถังพักน้ำ
8.8
กิจกรรมสุขาภิบาลที่พักอาศัย
8.9
คำถามประจำบทที่ 8
8.10แบบตรวจประเมินมาตรฐานด้านการสุขาภิบาลและความปลอดภัยในโรงพยาบาล
8.1 แนวคิดและหลักการ
ที่พักอาศัยเป็นปัจจัยสำคัญของมนุษย์ที่ทุกคนเกิดมาจะต้องมีเพื่อเป็นที่พักผ่อนนอนหลับหรืออยู่กินเป็นประจำของตนเองและครอบครัว
ที่พักอาศัยนี้มีอิทธิพลต่อผู้อยู่อาศัยมาก โดยที่พักอาศัยที่ดีและถูกสุขลักษณะตามหลักการสุขาภิบาล จะช่วยส่งเสริมให้ผู้อยู่อาศัยมีความสุขสบายทั้งกายและใจ
ปลอดภัยจากการเกิดอุบัติเหตุและโรคติดต่อที่จะเกิดจากที่พักอาศัยเป็นสาเหตุได้ แต่ถ้าที่พักอาศัยมีสภาพไม่ถูกสุขลักษณะ หรือมีสภาพแวดล้อมเป็นสลัม
หรืออยู่กันอย่างหนาแน่นแล้ว
จะเกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา
มีผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพและชีวิตความเป็นอยู่ของผู้พักอาศัย
นอกจากที่พักอาศัยจะมีความสำคัญต่อผู้อาศัยทั้งโดยทางตรงและทางอ้อมแล้ว
ยังมีความสำคัญต่อชุมชนโดยส่วนรวมของประเทศอีกด้วย กล่าวคือ ชุมชนประกอบด้วยครอบครัวหลาย ๆ
ครอบครัวอยู่ในอาณาเขตของชุมชนเดียวกัน
แต่ละครอบครัวจะมีที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของมนุษย์ ดังนั้น
บ้านหรือที่พักอาศัยจึงมีบทบาทสำคัญและมีผลกระทบต่อชุมชนได้
ถ้าที่พักอาศัยมีสภาพการสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อมไม่ดีหรือไม่ถูกสุขลักษณะ
ย่อมทำให้การสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อมของชุมชนไม่ดีหรือไม่ถูกสุขลักษณะด้วย
8.2 จำนวนชั่วโมงเรียน ภาคบรรยาย 2 ชั่วโมง
8.3 จุดประสงค์การเรียนรู้
เพื่อให้นักศึกษามีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับอนามัยสิ่งแวดล้อม
เช่น ความหมาย ความสำคัญ ความสัมพันธ์ของอนามัยสิ่งแวดล้อมกับระบบนิเวศ
และขอบเขตของงานอนามัยสิ่งแวดล้อม นโยบายการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อมระดับต่างๆ
8.4 จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
เมื่อนักศึกษาเรียนวิชานี้แล้ว
นิสิตมีความรู้ ความสามารถและทักษะ ดังนี้
1.เข้าใจแนวคิด
ได้หลักการและนโยบายด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม
2.สามารถบอกความหมายและความสำคัญของอนามัยสิ่งแวดล้อม
3.สามารถอธิบาย
ความสัมพันธ์ของอนามัยสิ่งแวดล้อม และขอบเขตของงานอนามัยสิ่งแวดล้อม
4.สามารถอธิบายนโยบายการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อมระดับต่างๆได้
5.จัดการคุณภาพน้ำได้
จัดการขยะมูลฝอยได้ จัดการสิ่งขับถ่ายได้
6.จัดการสุขาภิบาลอาหารได้
มีความรับผิดชอบต่อตนเอง ต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
8.5 เนื้อหาสาระ
ความหมาย
หลักการและนโยบายด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม
สามารถบอกความหมายและความสำคัญของอนามัยสิ่งแวดล้อม ความสำคัญ
ความสัมพันธ์ของอนามัยสิ่งแวดล้อม และขอบเขตของงานอนามัยสิ่งแวดล้อม
ความสัมพันธ์ของอนามัยสิ่งแวดล้อมกับระบบนิเวศ ขอบเขตของงานอนามัยสิ่งแวดล้อม
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12
กับงานอนามัยสิ่งแวดล้อม
แผน/นโยบายสิ่งแวดล้อมระดับต่างๆ/กระทรวง/จังหวัด/อำเภอ/ตำบล
8.6 กิจกรรมการเรียนการสอน
ภาคบรรยาย ทำการสอนในห้องเรียนแบบบรรยาย
2 ชั่วโมง ในหัวข้อที่ 1 - 6
ภาคปฏิบัติ แบ่งกลุ่มรายจังหวัดแล้วศึกษาข้อมูลปัญหาสิ่งแวดล้อมของจังหวัดในปัจจุบัน
เน้นข้อมูลที่ได้รับจากสื่อต่างๆ เช่นข่าวจากหนังสือพิมพ์ จากรายงานของจังหวัด
รายงานของหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อม
พร้อมทั้งศึกษานโยบายด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมระดับจังหวัด วิเคราะห์ความสอดคล้องกับนโยบายอนามัยสิ่งแวดล้อมของประเทศ
ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับปัจจุบัน
ตัวแทนกลุ่มนำเสนอกลุ่มจังหวัดละ 10 นาที
หลังจากนั้นคัดเลือกตัวแทนกลุ่มที่เหมาะสมที่สุดมาสรุปเป็นบทเรียนและสร้างนโยบายสิ่งแวดล้อมระดับตำบลที่สอดคล้องกันของตนเอง ส่งเป็นรายงานเดี่ยวเป็นใบงานที่ 1
8.7 สื่อการเรียนการสอน
แผ่นสไลด์บรรยาย (power
point) วิดีทัศน์เกี่ยวกับการแถลงนโยบายด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
8.8 เอกสารประกอบการสอน
เอกสารประกอบการสอน
ประกอบด้วยรูปภาพและตารางประกอบคำบรรยาย
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
แผนพัฒนาสาธารณสุข
8.9 การวัดผลและประเมินผล
สอบเตรียมความพร้อมก่อน-หลังเรียนประจำสัปดาห์
สรุปเนื้อหาที่เรียน/ใบงาน/ความรู้ที่ได้รับลงสมุดบันทึกท้ายชั่วโมงบรรยาย
การเข้าชั้นเรียน/การส่งใบงานตามเวลากำหนด
สอบข้อเขียนกลางภาค ปลายภาค
8.10การวิพากย์ข้อสอบ
มีการเฉลยข้อสอบ และวิพากย์ข้อสอบ โดย
อาจารย์ประจำวิชา
ตัวแทนนักศึกษาที่สอบได้คะแนนสูง 10 ลำดับแรก ตัวแทนนักศึกษาที่สอบได้คะแนนต่ำ 10
ลำดับสุดท้าย
ตัวแทนคณะกรรมการวิชาการประจำหลักสูตรสาธารณสุขชุมชน ผู้แทนนักศึกษาประจำหลักสูตร ๆ ละ 2 คน
ร่วมกันวิพากย์ข้อสอบไล่ ตามหัวข้อของหลักสูตร
และความสอดคล้องกับสมรรถนะของหลักสูตร ตลอดจนความยากง่าย
8.11 พัฒนารายวิชา
มีนำหัวข้อในบทที่ 8 ไปทำการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้เรียนด้วยกัน โดยการสร้างบล็อกของตนเอง
แล้วตั้งประเด็นคำถามชวนให้ผู้เรียนร่วมกันอภิปรายให้ความเห็น
ตามทัศนะของตนเอง รวมทั้งการเสนอแนวคิด
วิธีการ ในการวิเคราะห์ ในแง่มุมเชิงวิชาการ
วิทยาศาสตร์ และสหสาขา
โดยอาจารย์ประจำวิชาจัดเวที
มีการชี้แจงเพื่อให้นักศึกษาได้มีความกระตือรือร้น
ในการพัฒนาสมรรถนะเชิงวิชาการของตน ให้เข้มแข็ง ในหัวข้อที่ 1
มีการประกาศรายชื่อผู้ที่สามารถพัฒนาสมรรถนะเชิงวิชาการ
ได้จนเป็นที่น่าสนใจของเพื่อนร่วมชั้นเรียน
และเป็นแบบอย่างที่ดีขององค์ความรู้พื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อม
8.12 การทวนสอบ
โดยการสร้างระบบการทวนสอบรายวิชาอนามัยสิ่งแวดล้อม กับ เว็บสถาบันพระบรมราชชนก ในด้านการทวนสอบความรู้พื้นฐานเรื่องสิ่งแวดล้อม มีระบบเคเอ็ม ที่สร้างจาก blogger.com
ในเรื่องอนามัยสิ่งแวดล้อม
มีการลงทะเบียนเข้าเป็นสมาชิกของรายวิชาอนามัยสิ่งแวดล้อม
โดยให้นักศึกษาที่เรียนใช้เมล์ของตนสมัครเข้าใช้บริการ โดยอาจารย์ผู้สอนสามารถตรวจสอบ และประเมินได้จาก
ความถี่ในการเข้าใช้เว็บบล็อกของนักศึกษา
และสามารถติชม ตักเตือน
เพิ่มเติมความรู้ให้กับนักศึกษาแต่ละคนโดยการใช้การสื่อสารทางระบบเมล์ และfacebook.com
8.13 ประเมินผลการจัดการเรียนการสอน
บทที่
8 การสุขาภิบาลที่พักอาศัยและสถานทำการ
หัวข้อ
8.1 ความหมายของการสุขาภิบาลที่พักอาศัยและสถานทำการ
8.2 ความสำคัญของที่พักอาศัย และสถานทำการต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์
8.3 ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานสุขาภิบาลที่พักอาศัย
8.4 ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานสุขาภิบาลสถานทำการ
8.5 หลักการสุขาภิบาลที่พักอาศัย
8.5.1การจัดที่พักอาศัยให้ได้ตามความต้องการขั้นมูลฐานทางสรีรวิทยา
8.5.2 การจัดที่พักอาศัยให้ได้ตามความต้องการขั้นมูลฐานทางจิตวิทยา
8.5.3 ด้านการป้องกันโรคติดต่อ
8.5.4 ด้านการป้องกันอุบัติเหตุ
8.5.5 ด้านการป้องกันเหตุรำคาญ
8.6 การดูแลรักษาความสะอาดห้องน้ำ
8.7การติดตั้งถังพักน้ำ
8.8 กิจกรรมสุขาภิบาลที่พักอาศัย
8.9
คำถามประจำบทที่ 8
8.10แบบตรวจประเมินมาตรฐานด้านการสุขาภิบาลและความปลอดภัยในโรงพยาบาล
8.1 ความหมายของการสุขาภิบาลที่พักอาศัยและสถานทำการ
ที่พักอาศัย หมายถึง อาคารบ้านเรือนรวมทั้งตึก โรง
และแพที่มนุษย์จัดสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่อาศัยทั้งกลางวันและกลางคืน ภายในที่อยู่อาศัยประกอบด้วยสิ่งต่าง ๆ
ที่ต้องการ
มีทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกสบาย
อุปกรณ์และสิ่งใช้สอยที่จำเป็นตามความต้องการทางด้านร่างกายและจิตใจ และความเป็นอยู่ที่ดีงามทั้งส่วนตัวและครอบครัวผู้พักอาศัย
สถาบัน หมายถึง
อาคารสถานที่ที่สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่ทำการ
ซึ่งกำหนดให้เป็นที่ชุมชนได้ทั่วไปเป็นอาคารสาธารณะ เช่น โรงเรียนหรือสถานศึกษา หอประชุม
โรงมหรสพ โรงพยาบาล โรงแรม
และเรือนจำ เป็นต้น
การสุขาภิบาลที่พักอาศัยและสถาบัน
หมายถึง
การจัดการและควบคุมดูแลที่พักอาศัยและ/หรือสถาบันให้สะอาดถูกสุขลักษณะ
โดยจัดการให้ได้ตามความต้องการขั้นมูลฐานทั้งทางร่างกาย จิตใจ และจัดให้ปลอดภัยจากการเกิดอุบัติเหตุและการเกิดโรคระบาดในผู้พักอาศัยหรือผู้มาใช้บริการด้วย
8.2 ความสำคัญของที่พักอาศัย และสถานทำการต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์
ที่พักอาศัยเป็นปัจจัยสำคัญของมนุษย์ที่ทุกคนเกิดมาจะต้องมีเพื่อเป็นที่พักผ่อนนอนหลับหรืออยู่กินเป็นประจำของตนเองและครอบครัว
ที่พักอาศัยนี้มีอิทธิพลต่อผู้อยู่อาศัยมาก โดยที่พักอาศัยที่ดีและถูกสุขลักษณะตามหลักการสุขาภิบาล
จะช่วยส่งเสริมให้ผู้อยู่อาศัยมีความสุขสบายทั้งกายและใจ
ปลอดภัยจากการเกิดอุบัติเหตุและโรคติดต่อที่จะเกิดจากที่พักอาศัยเป็นสาเหตุได้ แต่ถ้าที่พักอาศัยมีสภาพไม่ถูกสุขลักษณะ หรือมีสภาพแวดล้อมเป็นสลัม หรืออยู่กันอย่างหนาแน่นแล้ว จะเกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา
มีผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพและชีวิตความเป็นอยู่ของผู้พักอาศัย
นอกจากที่พักอาศัยจะมีความสำคัญต่อผู้อาศัยทั้งโดยทางตรงและทางอ้อมแล้ว
ยังมีความสำคัญต่อชุมชนโดยส่วนรวมของประเทศอีกด้วย กล่าวคือ ชุมชนประกอบด้วยครอบครัวหลาย ๆ ครอบครัวอยู่ในอาณาเขตของชุมชนเดียวกัน
แต่ละครอบครัวจะมีที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของมนุษย์ ดังนั้น
บ้านหรือที่พักอาศัยจึงมีบทบาทสำคัญและมีผลกระทบต่อชุมชนได้
ถ้าที่พักอาศัยมีสภาพการสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อมไม่ดีหรือไม่ถูกสุขลักษณะ ย่อมทำให้การสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อมของชุมชนไม่ดีหรือไม่ถูกสุขลักษณะด้วย
และถ้าบ้านหรือที่พักอาศัยไม่ถูกสุขลักษณะมาอยู่รวมกันมาก ๆ
ในชุมชนเดียวกันชุมชนนี้จะเป็น “ชุมชนแออัด”
หรือ “แหล่งเสื่อมโทรม” ที่เรียกกันทั่วไปว่า
“สลัม (slum)”
ซึ่งเป็นชุมชนสกปรกไม่ถูกสุขลักษณะ เป็นชุมชนที่มีปัญหาทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม
และการเมือง เป็นปัญหาของรัฐซึ่งยากต่อการปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสม
8.3 ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานสุขาภิบาลที่พักอาศัย
8.3.1
สภาพของที่อยู่อาศัยโดยทั่วๆ ไปส่วนใหญ่ไม่ถูกสุขลักษณะ บกพร่องทางด้านการสุขาภิบาลขั้นพื้นฐานทั้งในเมืองและในชนบท
กล่าวคือในเมืองมีที่อยู่อาศัยที่อยู่กันอย่างแออัดยัดเยียดที่เราเรียกว่าสลัมหรือชุมชนแออัด
สำหรับในชนบทมีที่อยู่อาศัยมากมายที่สร้างไม่ถูกสุขลักษณะทั้งในด้านแสงสว่าง การระบายอากาศ
และขาดสิ่งอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับการสุขาภิบาลในบ้านพัก เช่น ไฟฟ้า
น้ำประปา การจัดการขยะมูลฝอย น้ำโสโครก แมลง
การมีส้วมใช้ตลอดจนความสะดวกสบายและความปลอดภัย
เป็นต้น
การมีสภาพที่ไม่ถูกสุขลักษณะมากมายเช่นนี้ ทำให้ต้องลงทุนแก้ไขในด้านต่าง ๆ ทั้งบุคลากร
งบประมาณ อุปกรณ์ และการวางแผนการจัดการที่ดีพอ จึงเป็นอุปสรรคที่สำคัญของการแก้ปัญหาและการจัดการโดยรัฐบาล
8.3.2
สภาพทางสังคมเป็นสาเหตุของปัญหาและเป็นอุปสรรค
1) ความยากจนของประชาชน ทำให้ไม่สามารถสร้างอาคารที่พักอาศัย และจัดหาสิ่งจำเป็นและอำนวยความสะดวกต่าง ๆ
ให้ถูกสุขลักษณะได้
2) การอพยพย้ายถิ่น โดยอพยพจากชุมชนชนบทเข้าสู่เมืองเพื่อหางานทำ
ที่พักอาศัยที่หาได้หรือสร้างขึ้นจึงเป็นแบบที่อยู่กันชั่วคราวและแออัดกลายเป็นแหล่งสลัม ปัญหาทางสังคมด้านต่าง ๆ ก็จะเกิดขึ้นตามมา
ปัญหาอุปสรรคของการสุขาภิบาลที่พักอาศัยก็จะมีมากขึ้น
3) ความไม่รู้ไม่เข้าใจ และขาดความสนใจเกี่ยวกับสุขภาพของประชาชน ทำให้เป็นอุปสรรคในการสุขาภิบาลที่พักอาศัย
8.3.3
การจัดบริการที่พักอาศัยโดยรัฐและเอกชนยังจัดทำได้ไม่ทั่วถึง
ประกอบกับราคาบ้านและที่พักอาศัยค่อนข้างสูง
ทำให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยไม่สามารถซื้อหรือเช่าซื้อได้
8.3.4 การจัดบริการสิ่งอำนวยความสะดวกที่เป็นปัจจัยขั้นพื้นฐานในที่พักอาศัยยังไม่สามารถทำได้อย่างทั่วถึง
เช่น ถนน ไฟฟ้า น้ำประปา
เป็นต้น
8.3.5
ขนบธรรมเนียม ประเพณี และความเคยชินบางอย่างของประชาชนทำให้ขาดความสนใจในการสุขาภิบาลที่พักอาศัย
8.3.6
มาตรการทางกฏหมายที่เกี่ยวกับการก่อสร้างอาคารบ้านพักอาศัยยังไม่สามารถนำมาใช้ปฏิบัติอย่างจริงจังและทั่วถึง พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522
ให้อำนาจควบคุมโดยเจ้าพนักงานท้องถิ่นซึ่งบริหารราชการในเขตพื้นที่นั้น จึงทำให้สามารถควบคุมการก่อสร้างอาคารบ้านพักอาศัยได้ เฉพาะที่อยู่ในเขตเมืองเท่านั้น ไม่สามารถปฏิบัติใช้ได้ในเขตชนบท
ประกอบกับประชาชนยังพยายามหลีกเลี่ยงต่อระบบระเบียบและกฎหมายกันมาก จึงเป็นปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินการสุขาภิบาลที่พักอาศัยดังกล่าว
8.3.7
การวางผังเมืองทั้งในเขตชุมชนเมืองและในเขตชนบทยังไม่มีหรือยังจัดทำได้ไม่ทั่วถึง จึงทำให้ย่านที่พักอาศัย ย่านการค้า
และย่านอุตสาหกรรมอยู่ปะปนกัน จึงยากแก่การปรับปรุงการสุขาภิบาลชุมชน
8.4 ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานสุขาภิบาลสถานทำการ
8.4.1
การออกแบบและการก่อสร้างสถานทำการบางแห่งไม่ถูกสุขลักษณะ ซึ่งทำให้ยากแก่การปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้องตามหลักการสุขาภิบาล
ปัญหานี้เกิดจากผู้ออกแบบและทำการก่อสร้างขาดความสนใจหรือไม่ให้ความสำคัญแก่การสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม
8.4.2
ผู้บริหารหรือผู้รับผิดชอบสถานทำการขาดความสนใจไม่ควบคุมดูแลเรื่องความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อย และปล่อยปละละเลยไม่ปรับปรุงซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสมและถูกสุขลักษณะ
8.4.3
ขาดการวางผังเมืองที่ถูกต้องหรือไม่มีการวางผังเมืองในชุมชน ทำให้ที่ตั้งของสถานทำการ เช่น อยู่ในย่านการค้าหรือการอุตสาหกรรม ทำให้สิ่งแวดล้อมของสถานทำการไม่เหมาะสมต่อการดำเนินงาน เช่น
โรงเรียนตั้งอยู่ในบริเวณสถานเริงรมย์เป็นต้น
8.4.4
ขนาดของสถานทำการไม่เหมาะสมกับกิจการ
กล่าวคือ
เล็กเกินไปไม่เพียงพอต่อจำนวนผู้มาใช้บริการ ทำให้เกิดความคับแคบ อึดอัด
และไม่สามารถจัดสิ่งอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ปฏิบัติงานและผู้มาใช้บริการได้อย่างเพียงพอ เช่น
ที่ทำการของทางราชการบางแห่งที่มีขนาดเล็กเกินไปจนไม่สามารถรองรับจำนวนผู้มาใช้บริการได้
8.4.5
มาตรการทางกฎหมายที่ใช้ควบคุมการก่อสร้างอาคารยังมีข้อบกพร่อง
และมีการปล่อยปละละเลยกฏระเบียบข้อบังคับกันมาก ทั้งฝ่ายเจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาน ทำให้ยากต่อการควบคุมการสุขาภิบาลสถานทำการ
8.4.6
การจัดบริการสถานทำการต่าง ๆ เช่น
สถาบันการศึกษา การรักษาพยาบาล รัฐบาลยังทำได้ไม่ทั่วถึงและไม่เพียงพอ
ทำให้ประชาชนมาใช้บริการสถานทำการที่มีอยู่อย่างมากมาย ทำให้เกิดความหนาแน่น แออัด
ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถจัดการแก้ไขปรับปรุงการสุขาภิบาลอาคารของสถานทำการได้
8.5 หลักการสุขาภิบาลที่พักอาศัย
สมาคมสาธารณสุขอเมริกัน (American
Public Health Association)ได้กำหนดมาตรฐานความต้องการในเรื่องบ้านพักอาศัย
ดังนี้คือ
• ต้องมีลักษณะเป็นไปตามความต้องการทางด้านร่างกายของผู้อยู่อาศัย
• ต้องเป็นไปตามความต้องการทางด้านจิตใจของผู้อยู่อาศัย
• ต้องป้องกันโรคติดต่อภายในบ้าน
• สามารถป้องกันอุบัติเหตุภายในบ้าน
• ด้านการป้องกันเหตุรำคาญ
8.5.1
การจัดที่พักอาศัยให้ได้ตามความต้องการขั้นมูลฐานทางสรีรวิทยา(Fundamental
Physiological Needs)
เป็นการจัดการสิ่งแวดล้อมของอาคารที่พักอาศัยให้มีความเหมาะสมกับความต้องการทางสรีรวิทยาในด้านต่าง
ๆ ของผู้อยู่อาศัย เช่น การจัดระบบระบายอากาศให้เหมาะสม มีแสงสว่างอย่างเพียงพอ ปราศจากเหตุรำคาญเนื่องจากเสียง
และมีพื้นที่เพียงพอในการออกกำลังกายและการเล่นของเด็ก เป็นต้น
ความต้องการขั้นมูลฐานทางสรีรวิทยาที่ควรพิจารณาจัดให้มีขึ้นและเหมาะสมเพื่อที่จะช่วยส่งเสริมสุขภาพแก่ผู้อยู่อาศัย
ดังนี้
การระบายอากาศ (Ventilation)
มีความสำคัญมีผลต่อร่างกายของผู้อยู่อาศัยเป็นอย่างมาก เช่น
อุณหภูมิภายในอาคารที่ร้อนเกินไปจะทำให้รู้สึกร้อนอบอ้าว มึนและปวดศรีษะ อ่อนเพลีย เหงื่อออกมาก เกิดการสะสมความชื้น กลิ่นและสิ่งสกปรก ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการทำงานและการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้อยู่อาศัย แต่ถ้าอุณหภูมิต่ำเกินไป
จะทำให้ร่างกายสูญเสียความร้อนระบบการหมุนเวียนของโลหิตผิดปกติ ซึ่งจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อการทำงานและการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้อยู่อาศัยเช่นกัน
ดังนั้น การระบายอากาศที่เหมาะสม จะทำให้ช่วยถ่ายเทอุณหภูมิให้อยู่ในระดับที่พอเหมาะ การถ่ายเทอากาศที่เพียงพอ จะช่วยให้สามารถระบายความร้อน ถ่ายเทกลิ่น
ลดความชื้น
ซึ่งจะช่วยให้ผู้อยู่อาศัยมีความสุขสบายในการอยู่อาศัยและดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีข้อกำหนดเกี่ยวกับระดับอุณหภูมิของอากาศในอาคารที่เหมาะสม มีดังนี้
ฤดูหนาว อุณหภูมิควรอยู่ในระหว่าง 65๐ - 70๐ F (18.3๐
- 21๐ C)
ฤดูร้อน อุณหภูมิควรอยู่ในระหว่าง 60๐ - 66๐ F (15๐ - 19๐ C)
อุณหภูมิที่เหมาะสมแก่ร่างกายมากที่สุด
คือ 68๐ F ( 20๐ C )
สำหรับประเทศไทยซึ่งตั้งอยู่ในเขตร้อน
ค่าเฉลี่ยตลอดปีของอุณหภูมิในอากาศของประเทศไทยในภาคกลางจะอยู่ระหว่าง 82๐
- 83 ๐ F (28๐ C) เพราะฉะนั้น อุณหภูมิของอากาศภายในอาคารควรอยู่ในระหว่าง 75๐
- 85๐ F (24๐ - 30๐ C) ถ้าหากอุณหภูมิสูงหรือต่ำกว่านี้ จะทำให้ร่างกายรู้สึกร้อนหรือหนาวผิดปกติ
ซึ่งจะมีผลต่อการอยู่อาศัยและการปฏิบัติงานโดยตรง
หลักการระบายอากาศของที่พักอาศัยสามารถกระทำได้
2 วิธี คือ
1) การระบายอากาศโดยวิธีทางธรรมชาติ
(Natural
Ventilation) เพื่อให้อากาศมีระดับอุณหภูมิไม่สูงจนเกินไปนัก
และเกิดมีการถ่ายเทอากาศในอาคารที่พักอาศัยอย่างเพียงพอ ซึ่งจะต้องจัดให้มีพื้นที่ของประตู หน้าต่าง ช่องระบายลมให้มีพื้นที่รวมกันไม่น้อยกว่า
20 % ของพื้นที่ห้อง
และตัวอาคารจะต้องตั้งอยู่ในที่ที่ไม่มีสิ่งกีดขวางทางลมด้วย ทั้งนี้เพื่อจะอาศัยกระแสลมธรรมชาติช่วยให้เกิดการระบายและถ่ายเทอากาศให้เพียงพอนั่นเอง
2)
การระบายอากาศโดยอาศัยเครื่องมือกล (Mechanical
Ventilation)
คือการติดตั้งพัดลมเครื่องปรับอากาศ หรือเครื่องจักรกลใด ๆ
เพื่อช่วยปรับระดับของอุณหภูมิและเกิดการถ่ายเทของอากาศภายในห้องพักอาศัยให้ได้ตามความเหมาะสมที่ต้องการ
โดยปกติแล้วการระบายอากาศควรสามารถระบายให้เกิดกระแสอากาศให้เคลื่อนที่ได้ไม่น้อยกว่า 15 ลบ.ฟ./คน/นาที และถ้ามีกระแสอากาศให้เคลื่อนที่ได้ถึง 25 ลบ.ฟ./คน/นาที
จะสามารถระบายกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ได้ด้วย แต่ไม่ควรให้กระแสอากาศเคลื่อนที่ถึง 50 ลบ.ฟ./คน/นาที
เพราะจะทำให้รู้สึกไม่สบายอันเนื่องมาจากกระแสลมที่พัดด้วยความเร็วดังกล่าว สำหรับการใช้เครื่องปรับอากาศ
ควรจัดให้อยู่ในอุณหภูมิระหว่าง 75๐
- 85๐ F
แสงสว่าง (Lighting)
ภายในอาคารที่พักอาศัยควรจัดให้มีแสงสว่างที่เพียงพอแก่การพักอาศัยและประกอบกิจกรรมต่าง
ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไม่เป็นอุปสรรคต่อการใช้สายตา
พื้นที่ต่าง ๆ ภายในอาคารที่ไม่ต้องการแสงสว่างมากนัก
ก็ควรจัดให้บริเวณนั้นมีความเข้มของการส่องสว่าง (Illumination) ไม่ต่ำกว่า 6 ฟุต-แรงเทียน (foot-candle)
เพราะจะเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
เนื่องจากความสว่างมีไม่พอต่อการใช้สายตาในระดับต่ำสุด หลักการจัดแสงสว่างที่ใช้ภายในอาคารมี 2 วิธี
ดังนี้
1) แสงสว่างจากธรรมชาติ (Natural Lighting) ได้แก่ แสงสว่างจากดวงอาทิตย์
เพื่อช่วยให้มีความสว่างภายในอาคารโดยอาศัยแสงสว่างธรรมชาติ
ทำได้โดยสร้างอาคารให้มีพื้นที่รับแสงสว่างอย่างเพียงพอโดยไม่มีสิ่งปิดกั้นแสงสว่างจากภายนอก ซึ่งพื้นที่รับแสงของอาคารควรมีไม่น้อยกว่า 20
% ของพื้นที่ห้องทั้งหมด
2) แสงสว่างจากดวงไฟ (Artificial Lighting) ได้แก่ แสงสว่างที่เกิดขึ้นจากดวงไฟที่มนุษย์สร้างขึ้น
เช่น ตะเกียง หลอดไฟฟ้า
การจัดแสงสว่างจากดวงไฟเหล่านี้
มีข้อควรพิจารณา ดังต่อไปนี้
- ห้ามใช้แสงจ้าหรือแสงที่มืดสลัว เพราะจะมีผลกระทบโดยตรงต่อประสาทตา
กล้ามเนื้อที่ยึดเลนส์นัยตาจะต้องทำงานผิดปกติ ทำให้อวัยวะที่เกี่ยวกับตาและประสาทตาเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ ดังนั้น
ภายในอาคารพักอาศัยควรที่จะต้องป้องกันไม่ให้เกิดแสงจ้าหรือแสงที่มืดสลัว โดยเฉพาะแสงมืดจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
- ห้ามใช้แสงกระพริบ
เพราะจะทำให้เกิดการกระตุ้นประสาทตามจังหวะของการกระพริบของแสงนั้น สายตาและประสาทตาจะเสียเร็วกว่าปกติ
-
พยายามจัดให้มีความสว่างอย่างสม่ำเสมอทั่วทุกพื้นที่
โดยให้มีเงาเกิดขึ้นน้อยที่สุดหรือไม่มีเงาเลย
จะช่วยทำให้สามารถลดอันตรายจากอุบัติเหตุได้เป็นอย่างดี
และก่อให้เกิดความสะดวกสบายต่อการอยู่อาศัยและการปฏิบัติงานอีกด้วย
ความสว่างที่เกิดขึ้นภายในอาคาร จะเกิดได้จากลำแสงที่ส่องมาโดยตรง (Direct
light) และแสงสะท้อน (Reflex light) ดังนั้น
ความสว่างที่เกิดขึ้นบนพื้นที่รับแสงใด ๆ ก็ตาม
นอกจากจะต้องจัดระยะทางระหว่างดวงไฟกับพื้นที่รับแสงสว่างแล้ว ก็จะต้องคำนึงถึงคุณลักษณะในการสะท้อนแสงของพื้นที่ใกล้เคียงด้วย
เช่น ความสว่างของพื้นห้องจะมากหรือน้อยขั้นอยู่กับกำลังส่องสว่างของดวงไฟ ระยะทางจากดวงไฟถึงพื้นห้อง รวมทั้งการสะท้อนของแสงสว่างที่เกิดจากฝาผนัง เพดาน
และสิ่งของเครื่องใช้ภายในห้องด้วย
ดังนั้นสีของพื้นผิวโดยรอบจะมีผลโดยตรงต่อความส่องสว่างที่เกิดขึ้นภายในห้อง เช่น
ห้องที่ทาด้วยสีขาวจะทำให้มีการสะท้อนแสงได้มากที่สุดถึง 90-92 % ในขณะที่ห้องที่ทาด้วยสีเทาจะทำให้มีการสะท้อนแสงได้เพียง 49 %
เท่านั้น
บริเวณบ้าน (Surrounding
space) หมายถึงพื้นที่นอกเหนือจากบริเวณที่การใช้ปลูกสร้างอาคาร
ควรจัดเว้นไว้สำหรับเป็นพื้นที่พักผ่อนหรือพื้นที่วิ่งเล่นสำหรับเด็ก ๆ
ซึ่งตัวอาคารไม่ควรที่จะปลูกสร้างให้เกิน 2/3 ของพื้นที่ทั้งหมด ควรเว้นไว้อย่างน้อย 1/3 ของพื้นที่ทั้งหมดเพื่อใช้เป็นพื้นที่สำหรับการพักผ่อนหย่อนใจ และสำหรับการออกกำลังกายเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วย
8.5.2 การจัดที่พักอาศัยให้ได้ตามความต้องการขั้นมูลฐานทางจิตวิทยา (Fundamental Psychological
Needs)
เป็นการจัดการสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ
ภายในที่พักอาศัยให้ช่วยส่งเสริมสุขภาพจิตหรือสุขภาพทางใจของผู้อยู่อาศัยด้วย ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความต้องการที่แตกต่างกันออกไป
สิ่งสำคัญที่ควรพิจารณาในการจัดที่พักอาศัยให้ได้ตามความต้องการขั้นมูลฐานทางจิตวิทยา มีดังนี้
ความเป็นส่วนตัว (Privacy)
ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละตัวบุคคลที่ไม่เหมือนกัน เช่น
การมีห้องนอนและทำงานที่เป็นอิสระ
ห้องรับแขก ห้องรับประทานอาหาร ห้องครัวฯลฯ ที่เป็นสัดส่วน
และมีพื้นที่ในการใช้สอยอย่างเพียงพอสำหรับกิจกรรมแต่ละประเภท
ความสง่างาม (Aesthetics)
โดยปกติแล้วผู้อยู่อาศัยย่อมต้องการที่พักอาศัยที่มีความสง่างาม
ภูมิฐานรวมทั้งต้องการให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย และความสวยงามอีกด้วย
ซึ่งจะช่วยให้ผู้อยู่อาศัยเกิดความภาคภูมิใจและความสุขทางใจขึ้นได้
ชีวิตปกติของครอบครัวและชุมชน (Normal
Family and Community Life) ผู้อยู่อาศัยย่อมปรารถนาที่จะให้ครอบครัวของคนมีความเป็นอยู่อย่างปกติสุขเช่นเดียวกับครอบครัวอื่น
ๆ ในชุมชน
และในขณะเดียวกันก็ต้องพยายามป้องกันไม่ให้มีสิ่งผิดปกติหรือสิ่งที่ต่ำกว่ามาตรฐานของสังคมเกิดขึ้นในครอบครัวหรือชุมชนได้
นอกจากนี้แล้วยังต้องการที่จะให้ชุมชนที่ตนอยู่อาศัยด้วยเป็นชุมชนที่มีความสะดวกสบาย
มีสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่ด้อยไปกว่าชุมชนอื่น ๆ อีกด้วย
ความสะอาด (Cleanliness)
ที่พักอาศัยจำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างสม่ำเสมอ
เพราะนอกจากจะช่วยส่งเสริมสุขภาพทางกายแล้ว ยังเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพทางจิตแก่ผู้อยู่อาศัยอีกด้วย ผู้อยู่อาศัยจะมีความพึงพอใจในความสะอาดของบ้านเรือนและชุมชนมากที่สุด
ความสะดวกสบาย (Convenience)
ผู้อยู่อาศัยย่อมต้องการให้ที่พักอาศัยของตนเองมีสิ่งอำนวยความสะดวกสบาย
คือ สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานอย่างเพียงพอ
เช่น ไฟฟ้า น้ำประปา
การติดต่อคมนาคม การกำจัดขยะ ฯลฯ เพราะเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยส่งเสริมในการอยู่อาศัย โดยเฉพาะชุมชนเกิดใหม่ ซึ่งจำเป็นที่จะต้องมีการวางแผนในการจัดหา จัดสร้าง และจัดหน่ายอย่างรอบคอบรัดกุมที่สุด
8.5.3 ด้านการป้องกันโรคติดต่อ (Provision Against Communication
Diseases)
อาคารที่พักอาศัยจำเป็นต้องได้รับการจัดสิ่งแวดล้อมต่าง
ๆ ให้มีส่วนช่วยในการป้องกันโรคโดยเฉพาะโรคติดต่อต่าง ๆ
และสามารถช่วยส่งเสริมสุขภาพแก่ผู้อยู่อาศัยด้วย
ปัจจัยที่เกี่ยวกับการป้องกันโรคติดต่อภายในที่พักอาศัยที่ควรพิจารณา มีดังนี้
น้ำดื่มน้ำใช้ (Water Supply) น้ำดื่ม น้ำใช้สำหรับอาคารที่พักอาศัยจำเป็นจะต้องจัดให้ได้ทั้งปริมาณและคุณภาพ กล่าวคือ
มีความสะอาดได้ตามมาตรฐานน้ำดื่มและมีปริมาณเพียงพอแก่การใช้ภายในครอบครัว หรือได้ปริมาณตามความต้องการขั้นต่ำ เช่น
ครอบครัวในชนบทควรมีน้ำสะอาดไว้ใช้ 30-50 ลิตร/คน/วัน โดยเฉพาะปริมาณน้ำดื่มจะต้องได้อย่างน้อย 2
ลิตร/คน/วัน
ครอบครัวในเมืองหรือในเขตเทศบาลควรจะมีน้ำประปาใช้ประมาณ 120 ลิตร/คน/วัน
และเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพมหานครควรมีน้ำประปาใช้อย่างน้อย 200 ลิตร/คน/วัน
การขาดแคลนน้ำสะอาดสำหรับใช้บริโภคภายในครัวเรือน ย่อมจะทำให้ผู้อยู่อาศัยมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคของระบบทางเดินอาหารเป็นอย่างยิ่ง
และการขาดแคลนน้ำสะอาดสำหรับใช้อุปโภคภายในครัวเรือน
ก็จะทำให้ผู้อยู่อาศัยมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคติดต่อต่าง ๆ ได้ง่าย เช่น โรคผิวหนัง ฯลฯ
การกำจัดสิ่งขับถ่ายจากร่างกาย (Excreta Disposal) สิ่งปฏิกูลจำพวกสิ่งขับถ่ายจากร่างกายนอกจากจะทำให้เกิดความสกปรก ความน่ารังเกียจ มีกลิ่นเหม็น
เป็นเหตุรำคาญแล้ว
ยังเป็นแหล่งกำเนิดของเชื้อโรคและแมลงที่เป็นพาหะนำโรคอีกด้วย
อาคารที่พักอาศัยจำเป็นที่จะต้องมีการกำจัดสิ่งปฏิกูลเหล่านี้อย่างถูกต้องและปลอดภัย
โดยจะต้องมีส้วมที่ถูกสุขลักษณะไว้สำหรับใช้ขับถ่ายแก่สมาชิกในครัวเรือนอย่างเพียงพอ โดยจะต้องมีส้วมอย่างน้อย 1
ที่ต่อผู้อยู่อาศัยจำนวน 5-6 คน
การกำจัดขยะ (Refuse
Disposal) ขยะที่เกิดขึ้นจากครัวเรือนจะต้องได้รับการเก็บรวบรวมลงในถังขยะที่มี
ฝาปิดมิดชิด
เพื่อให้พ้นจากการรบกวนของแมลง
สัตว์เลี้ยงเพื่อไม่ให้เกิดเป็นเหตุรำคาญหรือเป็นแหล่งแพร่ระบาดของเชื้อโรคได้ และขยะที่เก็บรวบรวมมานั้นจะต้องนำไปกำจัดอย่างถูกวิธีและปลอดภัย
ซึ่งโดยปกติแล้วภายในชุมชนเมืองจะมีหน่วยงานของทางเทศบาลมีหน้าที่บริการเก็บรวบรวมขยะไปกำจัด สำหรับในเขตชนบท จะต้องได้รับการแนะนำจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุข
ถึงวิธีการกำจัดขยะที่ถูกต้องเหมาะสม
การกำจัดน้ำโสโครก (Sewage
Disposal) บ้านพักอาศัยจะต้องมีการรวบรวมและกำจัดน้ำโสโครกที่เกิดขึ้นอย่างถูกต้องและปลอดภัย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเป็นแหล่งเพาะพันธุ์เชื้อโรค และพาหะนำโรคต่าง ๆ
รวมทั้งป้องกันไม่ให้เกิดเป็นเหตุรำคาญรบกวนขึ้นมาได้
ในที่พักอาศัยที่อยู่ในเขตเทศบาลจะมีการจัดระบบท่อน้ำโสโครกที่ใช้ลำเลียงน้ำโสโครกจากภายในบ้านออกไปยังท่อน้ำโสโครกสาธารณะเพื่อทำการกำจัดอย่างถูกวิธี ส่วนครัวเรือนในชนบทจะต้องจัดให้มีระบบระบายน้ำและกำจัดน้ำโสโครกไว้ใช้เองโดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม
การเก็บรักษาอาหาร (Food
Storage) อาหารสดภายในอาคารที่พักอาศัยควรที่จะต้องเก็บไว้ในตู้เย็น
หรือที่ที่มีอุณหภูมิต่ำ ๆ
เพื่อรักษาคุณภาพอาหารสดไว้ได้นาน ๆ เพราะจุลินทรีย์จะหยุดทำปฏิกิริยาเมื่ออุณหภูมิไม่เกินกว่า
10๐ C ดังนั้นอาหารสด เช่น
พืชผัก ผลไม้ จะสามารถเก็บรักษาไว้ได้นานกว่าปกติ ถ้าเก็บไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิไม่เกินกว่า 10๐
C ส่วนเนื้อสัตว์
ไข่ นมเนย อาจเก็บรักษาไว้ได้นานกว่า 7 วัน
ถ้าเก็บไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิไม่เกินกว่า 4๐ C แต่ถ้าจะต้องเก็บรักษาอาหารไว้นานกว่านั้น จำเป็นต้องใช้วิธีการแช่แข็ง
นอกจากนี้การเก็บรักษาอาหารยังจำเป็นต้องระวังไม่ให้เกิดการปนเปื้อนต่าง
ๆ เช่น
ฝุ่นละออง แมลงและสัตว์เลี้ยง ฯลฯ
เพื่อให้ได้อาหารที่ดีมีคุณค่าและปลอดภัยนั่นเอง
การสุขาภิบาลอาหารนับว่าเป็นส่วนสำคัญอย่างมากประการหนึ่งของการสุขาภิบาลอาคารที่พักอาศัย
ห้องนอนมีพื้นที่เพียงพอ (Sufficient
Space in Sleeping Rooms) การนอนถือว่าเป็นการพักผ่อนที่สำคัญมากที่สุด ดังนั้น ห้องนอนจะต้องมีพื้นที่เพียงพอ ไม่แออัด
และมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย
สะอาด อุณหภูมิพอเหมาะ
มีการระบายอากาศที่เหมาะสม
โดยปกติพื้นที่ห้องนอนไม่ควรที่จะน้อยกว่า 9 ตารางเมตร มีความสูงประมาณ 2.5
เมตร และไม่ควรที่นอนเกินกว่า 2
คน/ห้องนอน ถ้าจัดเตียงนอนคู่ก็ควรจะมีพื้นที่อย่างน้อย
50 ตารางฟุต/เตียง
เตียงนอนแต่ละเตียงควรมีระยะกึ่งกลางเตียงห่างกันไม่น้อยกว่า 6 ฟุต
ซึ่งจะช่วยป้องกันการติดต่อของโรคทางเดินหายใจได้ ในการปฏิบัติการ
นิยมใช้เกณฑ์พื้นที่ห้องนอนต่อคนเป็นดัชนีบ่งบอกถึงลักษณะความแออัดของที่พักอาศัยได้เป็นอย่างดี
8.5.4 ด้านการป้องกันอุบัติเหตุ (Provision Against Accidents)
อุบัติเหตุเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดหมาย
ทำให้เกิดความเสียหาย บาดเจ็บ ทุพพลภาพ
หรือถึงแก่ชีวิตได้
อุบัติเหตุภายในอาคารที่พักอาศัยที่มักพบได้เสมอ เช่น การหกล้ม
ไฟฟ้าลัดวงจร น้ำร้อนลวก ไฟไหม้
ฯลฯ ซึ่งมักจะเกิดจากความประมาท
พลั้งเผลอ การขาดความรอบคอบ และการขาดการบำรุงรักษา
อาคารที่พักอาศัยควรที่จะต้องมีการป้องกันอุบัติเหตุไว้ล่วงหน้า ซึ่งมีสิ่งที่จะต้องพิจารณา ดังนี้
ทำเลที่ตั้ง (Location)
เป็นสิ่งจำเป็นประการแรกที่จะต้องนำมาพิจารณา เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ ได้แก่
ไม่ควรสร้างอาคารที่พักอาศัยให้ติดกับถนนใหญ่เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุจากการจราจรได้ง่าย แต่ถ้าจำเป็นที่จะต้องสร้างก็จะต้องมีรั้วกั้น ประตูทางเข้าบริเวณไม่ควรมีมุมอับ ควรมีลักษณะที่สามารถมองได้เป็นมุมกว้าง จะช่วยลดอุบัติเหตุจากการเข้าออกได้
ไม่ควรมีต้นไม้ใหญ่อยู่ใกล้อาคารที่สามารถแผ่กิ่งก้านสาขายื่นล้ำเข้ามาในตัวอาคาร เพราะอาจเกิดการหักโค่นลงมาเป็นอันตรายได้ บริเวณที่ทำการปลูกสร้างอาคารควรมีพื้นที่เพียงพอ ไม่คับแคบจนเกินไปหรือต้องปลูกสร้างชิดกัน บ้านพักอาศัยที่ปลูกสร้างใกล้ชิดกันมากเกินไป จะเป็นการเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของอัคคีภัยได้
วัสดุและการก่อสร้าง (Materials
and Construction) วัสดุที่จะนำมาก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยควรเป็นวัสดุที่มีความแข็งแรงทนทาน มีคุณภาพดี
สวยงาม
หาง่ายในท้องถิ่นที่ปลูกสร้าง
และไม่ควรเป็นวัสดุที่ติดไฟง่าย เช่น หลังคากระเบื้อง กระเบื้องซีเมนต์ แผ่นเหล็กชุบสังกะสี
เป็นต้น
การก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยนอกจากจะถูกต้องตามกฏเกณฑ์ที่มีใช้อยู่ในท้องถิ่นแล้ว จะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ทางด้านวิศวกรรมด้วย
การป้องกันอัคคีภัย (Fire
Protection) การป้องกันอัคคีภัยนับว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะต้องได้รับการพิจารณาจัดทำเพราะเป็นภัยที่ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงสูงสุดต่อชีวิตและทรัพย์สิน
อาคารที่พักอาศัยสมควรที่จะได้มีการป้องกันอัคคีภัยอยู่เสมอ เช่น
พื้นห้องครัวหรือผิวพื้นที่อยู่ใกล้เตาไฟควรได้รับการบุด้วยวัสดุทนไฟ
สายไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เก่าหรือชำรุดสมควรได้รับการซ่อมแซมหรือเปลี่ยนใหม่อยู่เสมอ
ควรติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมป้องกันกระแสไฟฟ้าดูดหรือลัดวงจรไว้ในบ้านด้วย
ควรจัดหาเครื่องดับเพลิงไว้ใช้ประจำบ้านและมีการทดสอบประสิทธิภาพให้พร้อมใช้งานได้เสมอ ประตูและหน้าต่างของตัวอาคารควรมีขนาดพอสมควร และไม่ควรติดลูกกรงเหล็กดัด
หรือถ้าติดควรเป็นชนิดที่มีกุญแจเปิดปิดได้อย่างสะดวก ทั้งนี้เมื่อเกิดอัคคีภัยขึ้นจะได้มีความสะดวกในการหลบหนีออกไปนอกตัวอาคารได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย
ความเป็นระเบียบเรียบร้อย (Orderliness)
การจัดสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ให้เป็นหมวดหมู่ มีระเบียบ ค้นหาได้ง่าย ไม่เกะกะจะช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุต่าง ๆ
ได้ เช่นการเก็บเศษใบไม้ เศษกระดาษ
ให้พ้นจากการเป็นต้นเหตุของอัคคีภัย
การเก็บสารเคมีที่มีพิษต่าง ๆ ให้พ้นจากมือเด็ก เป็นต้น
การบำรุงรักษา (Maintenance)
อาคารที่พักอาศัยจำเป็นที่จะต้องได้รับการบำรุงดูแลรักษาให้อยู่ในสภาพที่สามารถใช้อยู่อาศัยได้อย่างเป็นปกติสุขเสมอ ไม่ทรุดโทรมจนกลายเป็นอันตรายต่อผู้อยู่อาศัย
ทั้งนี้รวมถึงการดูแลรักษาความสะอาดภายในอาคารและบริเวณของอาคารให้ดีอยู่เสมอด้วย
8.5.5 ด้านการป้องกันเหตุรำคาญ ( Provision Against Nuisances)
เหตุรำคาญ (Nuisances)
อาคารที่พักอาศัยจะต้องปราศจากเหตุรำคาญต่าง ๆ เช่นเสียงรบกวน แสงจ้า
ความสั่นสะเทือน กลิ่นเหม็น ฝุ่นละออง เขม่าควัน แก็สพิษต่าง ๆ ฯลฯ ที่จะก่อให้เกิดการรบกวนต่อความเป็นปกติสุขของผู้อยู่อาศัย เช่น
รบกวนการพักผ่อนนอนหลับ
ทำให้ขาดสมาธิในการทำงาน ดังนั้น
จึงมีความจำเป็นที่จะต้องกำจัดและป้องกันเหตุรำคาญเหล่านี้ให้หมดสิ้นไป
8.6
การดูแลรักษาความสะอาดห้องน้ำ
1.การดูแลรักษาความสะอาดห้องน้ำ,
ห้องน้ำ เป็นห้องที่ต้องเปียกน้ำ และมีความชื้นเกือบตลอดเวลา
(ทั้งขับถ่าย ซักล้าง อาบน้ำ ฯลฯ)
และเป็นห้องที่มีความเกี่ยวข้องกับสุขภาพนามัยของคนในบ้านโดยตรง
ดังนั้น เราจึงไม่ควรละเลยในเรื่องของความสะอาด ความเรียบร้อย และความปลอดภัยต่างๆ
ภายในห้องน้ำ
2.การดูแลโถสวมหรือชักโครก
ฝารองนั่งสำหรับชักโครกนั้น
เป็นส่วนที่ต้องสัมผัสกับร่างกายของเราโดยตรงควรทำความสะอาดทุกวัน
หรือหลังจากการใช้งานเสร็จ โดยให้ใช้น้ำยาทำความสะอาดสุขภัณฑ์
หรือใช้แอลกอฮอล์เช็ดทำความสะอาดก็ได้ ส่วนตัวชักโครกด้านใน ให้ใช้น้ำยาทำความสะอาด
บีบไปให้ทั่ว โดยเฉพาะตามขอบด้านใน แล้วใช้แปรงขัดส้วมขัดถูให้ทั่ว
ไปจนถึงคอห่านให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้
3.การดูแลฝักบัวอาบน้ำ
ฝักบัวอาบน้ำ เป็นอีกส่วนหนึ่ง
ที่มักสะสมความสกปรกหรือเชื้อโรคเอาไว้ เราสามารถทำความสะอาดได้
โดยการนำฝักบัวไปแช่น้ำส้มสายชูผสมกับน้ำอุ่น ประมาณ 3-4 ชั่วโมง หรือแช่ข้ามคืนไว้ก็ได้ เสร็จแล้วจัดการล้างด้วยน้ำเปล่า
แล้วเช็ดให้แห้ง แค่นี้ก็เสร็จแล้ว
4.กำแพงหรือผนังห้องน้ำ
มักจะมีคราบสบู่หรือคราบแชมพูกระเด็นไปติดอยู่
และหากไม่ทำความสะอาด ก็จะกลายเป็นคราบสกปรกดำๆ ไม่น่ามอง วิธีทำความสะอาด
ก็เพียงผสมน้ำยาล้างห้องน้ำกับน้ำเปล่า แล้วนำไปเช็ดถูให้ทั่ว ทิ้งไว้สักพัก
แล้วล้างออกอีกครั้งหนึ่ง
5.กระจกในห้องน้ำ
มักจะโดนทั้งน้ำ สบู่ เจล ครีมโกนหนวด
หรือยาสีฟันกระเด็นไปเปื้อนเป็นประจำ ซึ่งถ้าเปื้อนแล้ว
ควรรีบจัดการทำความสะอาดทันที ด้วยผ้าหมาดๆ ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้นาน จนแห้งติดกระจก
จะทำให้เช็ดออกยากขึ้นนั่นเอง และหากกระจกเป็นคราบสกปรกมากๆ ก็ใช้น้ำยาเช็ดกระจก
กับหนังสือพิมพ์เช็ด หรือใช้แอลกอฮอล์ผสมน้ำ ในการทำความสะอาดก็ได้
จะทำให้กระจกกลับมาใสสะอาดเหมือนเดิม
6.การดูแลพื้นห้องน้ำ
ควรทำความสะอาดอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง
ด้วยน้ำยาล้างห้องน้ำ โดยเทลงไปบนพื้นห้องน้ำ ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วค่อยจัดการขัดพื้นด้วยแปรงขัดพื้นเพื่อขัดตะไคร่น้ำ
(ที่เป็นสาเหตุทำให้พื้นลื่นจนอาจเกิดอันตรายได้)
ให้หมดจดแล้วราดน้ำสะอาดเพื่อล้างน้ำยาออกให้หมดอีกครั้งหนึ่งและหากเป็นไปได้
ควรให้แสงแดดส่องเข้ามาในห้องน้ำ
หรือเปิดประตูหน้าต่างห้องน้ำไว้บ้างเพื่อช่วยระบายอากาศ ความชื้น กลิ่นเหม็น
และสิ่งหมักหมมต่างๆ
7.การดูแลอ่างล้างหน้า
อ่างล้างหน้า เมื่อใช้ไปนานๆ
จะมีคราบด่างดูสกปรกติดอยู่
ซึ่งเราสามารถทำความสะอาดด้วยการใช้ผ้าชุบน้ำส้มสายชูขัดถูบนรอยคราบเหล่านั้นล้างออกอีกครั้งด้วยน้ำผสมสบู่
ตามด้วยน้ำสะอาด อ่างล้างหน้าก็จะดูสะอาดเหมือนใหม่ทันตาเห็นเลย
8.การดูแลส่วนประกอบอื่นๆ
ห้องน้ำ
สำหรับที่รองสบู่ มักจะมีน้ำขัง
หรือมีคราบสกปรกสะสมอยู่ ทำให้เกิดเป็นเชื้อราได้ดังนั้น ควรหมั่นขัดทำความสะอาด
และเช็ดให้แห้งอยู่เสมอถ้ามีตู้เก็บของ หรือชั้นวางของในห้องน้ำ
ก็ควรหมั่นทำความสะอาดบ่อยๆและเช็ดให้แห้ง ทุกซอกทุกมุม เนื่องจากมักจะเปียกน้ำ
หรืออับชื้นอยู่เกือบตลอดเวลาที่แขวนผ้า หรือราวแขวนผ้า
ควรหมั่นเช็ดทำความสะอาดเช่นกันและไม่ควรใช้สำหรับการตากเสื้อผ้า
เพราะในห้องน้ำมีความชื้น ทำให้แห้งยากหากจะตากผ้า ควรตากไว้ข้างนอก ให้โดนแสงแดด
หรือที่ที่มีลมพัดผ่าน
8.7การติดตั้งถังพักน้ำ
ควรติดตั้งถังพักน้ำให้สัมพันธ์กับปริมาณน้ำใช้ในอาคาร บ้านเรือน
ถังพักน้ำที่ใหญ่เกินไป จะทำความสะอาดได้ยาก มีทั้งแบบ ติดตั้งบนดินและใต้ดิน
ควรมีขนาดพอเก็บน้ำไว้ใช้ประมาณ 1-2 วัน เท่านั้น
เพราะหากเก็บน้ำไว้นานกว่า 1-2 วัน ปริมาณคลอรีนตกค้าง
ในน้ำประปาจะระเหยไปหมด เชื้อโรคหรือแบคทีเรียอาจเข้ามา ปะปนในน้ำได้
ควรเลือกถังพักน้ำชนิดที่ทนทานและปราศจากสารพิษ
เพราะคลอรีนในน้ำประปาอาจทำปฏิกิริยากับโลหะบางชนิดให้เกิด
การผุกร่อนและเป็นสนิมได้
รูปแบบการติดตั้งถังพักน้ำและเครื่องสูบน้ำที่ถูกต้อง

แบบที่
1
การติดตั้งเครื่องสูบน้ำโดยมีถังพักน้ำบนดิน

แบบที่ 2 การติดตั้งเครื่องสูบน้ำโดยมีถังพักน้ำใต้ดิน
บรรณานุกรม
มนัส
ยอดคำ. (2548). การควบคุมอุบัติภัย และการส่งเสริมอุบัติภัย.กรุงเทพฯ: โอ.เอส
พริ้นท์ติ้งเฮ้ำส์.
มาตรการด้านความปลอดภัยในโรงแรม.
(2555). คนโรงแรม. สืบค้น 23 สิงหำคม 2557, จำกัด
http://www.ihotelguru.com/index.php?option=com_k2&view=item&id=95:hotelsecurity-measures&Itemid=281
มูลนิธิสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย.
(2556). คู่มือแนวทางการจัดการขยะมูลฝอยและสิ่งแวดล้อมโดย
ชุมชนกรุงเทพมหานคร.กรุงเทพฯ:
มาตาการพิมพ์ จำกัด.
8.8 กิจกรรมสุขาภิบาลที่พักอาศัย
กิจกรรมที่
1การสุขาภิบาลที่พักอาศัย
1จงร่างมาตรฐานที่พักอาศัยสำหรับชุมชนชนบท
ที่เหมาะสมและเรียบง่าย
2.แบ่งกลุ่มนักศึกษาออกเป็นกลุ่มย่อย(กลุ่มละ8-10คน)ตรวจที่พักอาศัยมาตรฐานความปลอดภัยของอาคารหอพักนักศึกษา ทั้ง 5 หอ โดยลงบันทึกการตรวจลงในแบบฟอร์มตามมาตรฐานความสะอาดและความปลอดภัยอย่างน้อย
1 หลัง (ในภาคผนวก)
8.9 คำถามประจำบทที่ 8
1.จงบอกปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานสุขาภิบาลที่พักอาศัยในระดับหมู่บ้านของชนบท
2.เพื่อเป็นการป้องกันโรคติดต่อ
ท่านคิดว่าบ้านหรือ อาคารที่พักอาศัยจำเป็นต้องได้รับการจัดสิ่งแวดล้อมด้านใดบ้างและทำอย่างไร
3.ปัญหาที่เกิดขึ้นกับคอห่าน อ่างล้างมือ และโถปัสสาวะมีอะไรบ้าง
ท่านจะแก้ไขอย่างไร
4.ถ้าสงสัยว่าท่อประปาแตกหรือรั่วใต้ดินจะทราบได้อย่างไร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น