แผนการสอน
รายวิชาอนามัยสิ่งแวดล้อม
บทที่
10
เรื่องการควบคุมและป้องกันแมลงและสัตว์นำโรค
หัวข้อ
10.1 แนวคิดและหลักการ
10.2
นิยามความหมาย
10.3
ยุง (Mosquitoes)
10.4
แมลงวัน (Flies)
10.5
แมลงสาบ (Cockroaches)
10.6
เห็บ ( Ticks
)
10.7
หนู (Rat)
10.8
กิจกรรมสำรวจ ควบคุม ป้องกันแมลงและสัตว์นำโรคในที่พักอาศัย
10.9
แบบฝึกหัดประจำบทที่ 10
10.1 แนวคิดและหลักการ
แมลงและสัตว์นำโรคบางประเภท
นอกจากจะทำลายสุขภาพอนามัยแล้ว ยังสร้างความเสียหายต่าง ๆ ให้แก่คนด้วย
การกำจัดและควบคุมแมลงและสัตว์นำโรคจึงมีความสำคัญเนื่องจาก ช่วยป้องกันสาเหตุที่ทำให้เกิดโรค เพราะแมลงและสัตว์นำโรคบางชนิดเป็น ตัวพาเชื้อโรคจากคนหรือสัตว์ที่มีเชื้อโรคมาสู่คนได้
เช่น ยุงก้นปล่องนำเชื้อ โรคมาเลเรียแมลงวันนำโรค อหิวาต์หรือท้องร่วง
แมลงสาบนำโรคคอตีบ อีกทั้งช่วยป้องกันเหตุรำคาญ การกำจัดและควบคุมแมลงและสัตว์นำโรค
เป็นการช่วยลดจำนวนของแมลงและสัตว์นำโรคลงได้และส่งผลให้เหตุรำคาญจากสัตว์ต่าง
ๆเหล่านี้ลดลง เช่น ยุง ที่กัดกินเลือดทำให้รำคาญนอนไม่หลับ
แมลงวันที่ตอมอาหารทำให้เกิดความรำคาญในขณะรับประทาน และยังช่วยลดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ เนื่องจากแมลงสัตว์นำโรคบางประเภทจะกัดกินหรือทำลายอาหาร
อาคาร วัสดุต่าง ๆ เช่น ปลวกที่กัดกินเนื้อไม้หรือกระดาษหนูที่กัดกินทำลาย
อาหารและผลิตผลทางการเกษตรหรือเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง
ๆทำให้ผลผลิตหรือเครื่องใช้เสียหาย ก่อให้เกิดการสูญเสียค่าใช้จ่าย และอาจทำให้เกิดอันตรายหรือโรคต่าง
ๆ ขึ้นด้วย
10.2 จำนวนชั่วโมงเรียน ภาคบรรยาย 2 ชั่วโมง
10.3 จุดประสงค์การเรียนรู้
เพื่อให้นักศึกษามีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับแมลงที่เป็นเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคในมนุษย์
ยุง แมลงวัน แมลงสาบ หนู การควบคุมและป้องกันโรค
10.4 จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
เมื่อนิสิตเรียนวิชานี้แล้ว
นักศึกษามีความรู้ ความสามารถและทักษะ ดังนี้
1.
สามารถบอกความหมาย ความสำคัญของ แมลงและสัตว์นำโรค
2. สามารถอธิบายองค์ประกอบทางสรีรวิทยาของแมลงและสัตว์นำโรคแต่ละชนิด
3. สามารถบอกและอธิบายหลักการป้องกันควบคุมกำจัดแมลงและสัตว์นำโรค
10.5 เนื้อหาสาระ
ภาคบรรยาย
ความหมาย ความสำคัญของเกี่ยวกับแมลง หลักการควบคุมและวิธีการกำจัดแมลงและสัตว์นำโรค
10.6 กิจกรรมการเรียนการสอน
ภาคบรรยาย
ทำการสอนในห้องเรียนแบบบรรยาย 2 ชั่วโมง และฝึกปฏิบัติตามกิจกรรมที่
1-3
10.7 สื่อการเรียนการสอน
แผ่นสไลด์บรรยาย (power point)
เอกสารประกอบการสอน
เอกสารประกอบการสอน
ประกอบด้วยรูปภาพและตารางประกอบคำบรรยาย
10.8 การวัดผลและประเมินผล
สอบข้อเขียนกลางภาค ปลายภาค สรุปเนื้อหาที่เรียน
/ ความรู้ที่ได้รับลงสมุดบันทึกท้ายชั่วโมงบรรยาย
บทที่
10
การควบคุมและป้องกันแมลงและสัตว์นำโรค
หัวข้อ
10.1 แนวคิด
10.2 นิยามความหมาย
10.3 ยุง (Mosquitoes)
10.4 แมลงวัน (Flies)
10.5
แมลงสาบ (Cockroaches)
10.6
เห็บ ( Ticks )
10.7 หนู (Rat)
10.8 กิจกรรมสำรวจ ควบคุม
ป้องกันแมลงและสัตว์นำโรคในที่พักอาศัย
10.9 แบบฝึกหัดประจำบทที่ 10
10.1 แนวคิดและหลักการ
แมลงและสัตว์นำโรคบางประเภท
นอกจากจะทำลายสุขภาพอนามัยแล้ว ยังสร้างความเสียหายต่าง ๆ ให้แก่คนด้วย การกำจัดและควบคุมแมลงและสัตว์นำโรคจึงมีความสำคัญเนื่องจาก
ช่วยป้องกันสาเหตุที่ทำให้เกิดโรค
เพราะแมลงและสัตว์นำโรคบางชนิดเป็น ตัวพาเชื้อโรคจากคนหรือสัตว์ที่มีเชื้อโรคมาสู่คนได้
เช่น ยุงก้นปล่องนำเชื้อ โรคมาเลเรียแมลงวันนำโรค อหิวาต์หรือท้องร่วง
แมลงสาบนำโรคคอตีบ อีกทั้งช่วยป้องกันเหตุรำคาญ
การกำจัดและควบคุมแมลงและสัตว์นำโรค
เป็นการช่วยลดจำนวนของแมลงและสัตว์นำโรคลงได้และส่งผลให้เหตุรำคาญจากสัตว์ต่าง
ๆเหล่านี้ลดลง เช่น ยุง ที่กัดกินเลือดทำให้รำคาญนอนไม่หลับ
แมลงวันที่ตอมอาหารทำให้เกิดความรำคาญในขณะรับประทาน และยังช่วยลดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ
เนื่องจากแมลงสัตว์นำโรคบางประเภทจะกัดกินหรือทำลายอาหาร อาคาร วัสดุต่าง ๆ
เช่น ปลวกที่กัดกินเนื้อไม้หรือกระดาษหนูที่กัดกินทำลาย
อาหารและผลิตผลทางการเกษตรหรือเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆทำให้ผลผลิตหรือเครื่องใช้เสียหาย
ต้องจัดซื้อหรือซ่อมแซมใหม่ ก่อให้เกิดการสูญเสียเงินเพื่อใช้จ่ายดังกล่าว
และอาจทำให้เกิดอันตรายหรือโรคต่าง ๆ ขึ้นด้วย
10.2 นิยามความหมาย
แมลง
หมายถึงสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลัง ร่างกายแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ ส่วนหัว ส่วนอก และส่วนท้องมี 6 ขา อาจมีปีกหรือไม่มีปีกก็ได้พาหะนำโรค
หมายถึงสิ่งที่เป็นตัวนำพาเอาเชื้อโรคจากสิ่งมีชีวิตหนึ่งสู่อีกสิ่งมีชีวิตหนึ่ง ซึ่งทำให้เกิดโรคขึ้น
Host
หมายถึงที่อยู่อาศัยของพาหะนำโรคโดยที่อาจก่อหรือไม่ก่อโรคในสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ความสำคัญของแมลงและสัตว์นำโรค
1.
เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคในมนุษย์ แมลงเป็นตัวนำพาเชื้อโรคจากมนุษย์หรือสัตว์ที่มีเชื้อโรคมายังมนุษย์หรือสัตว์ปกติอื่นๆ
เชื้อโรคที่นำมาอาจเป็นเชื้อ แบคทีเรีย
2.
เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญ สาเหตุที่ทำให้มนุษย์และสัตว์เกิดความเดือดร้อนรำคาญได้แก่
การที่พาหะนำโรคมากัดทำให้เกิดแผลอักเสบหรือมีอาการแพ้ต่าง ๆ เช่น ยุงหรือตัวเรือดกัดกินเลือดทำให้เกิดผื่นคันหรือนอนไม่หลับด้วยความรำคาญ
3.
เป็นสาเหตุให้เกิดการสูญเสียทางเศรษฐกิจ เนื่องจากแมลง เช่น หนู มากัดกินต้นข้าวของเกษตรกรตัวอย่างของแมลงและสัตว์ที่ต้องควบคุมและป้องกัน
8.3 ยุง (Mosquitoes)

ภาพที่10.1แสดงวงจรชีวิตของยุง
ยุงจัดเป็นสัตว์ใน Phylum
Arthropoda จัดอยู่ใน Class Insecta, Family Culicidae และ Order Diptera ยุงเป็นแมลงขนาดเล็กลำตัวยาว
3-6 มิลลิเมตร มีปีก 1 คู่ หนวดยาว ขนที่หนวดของตัวเมียสั้นกว่าตัวผู้
ปากเป็นชนิดเจาะดูด วงจรชีวิติของยุง จะมี 4 ระยะได้แก่ ระยะเป็นไข่
(egg stage) ระยะตัวอ่อน (larva stage) ระยะเป็นดักแด้(pupa
stage) และระยะตัวเต็มวัย (adult stage) ซึ่งยุงจะมีวงจรชีวิต
9-14 วัน ตัวเมียอายุประมาณ 1 เดือนตัวผู้อายุประมาณ
6-7 วันยุงแต่ละตัววางไข่ได้ 3-4 ครั้งจำนวน
50-200 ฟองต่อครั้ง
ยุงที่เป็นพาหะนำโรคมาสู่มนุษย์
1.
ยุงก้นปล่อง (Anopheles)

ภาพที่10.2 อธิบายวงจรชีวิตยุง 4 ขั้นตอน
ยุงก้นปล่องอยู่ในกลุ่ม Anophelini สกุล Anopheles เป็นยุงที่นำเชื้อโรคมาลาเรียมาสู่คน
โดยการกัดคนที่ป่วยเป็นโรคมาลาเรีย ซึ่งมีปรสิตอยู่ในเซลล์เม็ดเลือดแดงของคนเข้าสู่กระเพาะของยุง
แล้วทำให้ปรสิตเจริญเติบโตและเพิ่มจำนวน แล้วเคลื่อนที่ไปยังต่อมน้ำลายของยุง ซึ่งวงจรในการสืบพันธุ์ของโรคมาลาเรียจะเกิดอย่างสมบูรณ์ขึ้นภายในตัวยุง
เมื่อยุงกัดคนก็จะปล่อยปรสิตของเชื้อมาลาเรียเข้าสู่ระบบไหลเวียนเลือดของคน ทำให้คนคนนั้นเป็นโรคมาลาเรีย
วงจรชีวิตของยุงก้นปล่อง
มี
4 ระยะ
ระยะเป็นไข่
การวางไข่มักจะวางไข่แบบฟองเดี่ยวในเวลากลางคืน ครั้งละประมาณ 50-150 ฟอง รูปร่างของไข่เพรียวเหมือนเรือบดมีทุ่นทำให้ลอยน้ำได้ มีสีขาวในระยะแรก
ต่อไปจะเป็นสีน้ำตาลแก่และดำในที่สุด มีขนาดประมาณ 1 มิลลิเมตร
ไข่ของยุงก้นปล่องจะกลายเป็นตัวอ่อนภายใน 1-3 วัน
ระยะเป็นตัวอ่อน
ตัวอ่อนของยุงก้นปล่องจะมีขนที่มีลักษณะคล้ายใบตาลช่วยในการเคลื่อนที่ขึ้นอยู่ตามลำตัว
ตัวอ่อนของยุงก้นปล่องจะมีการลอกคราบ 4 ครั้ง ก่อนที่จะกลายเป็นดักแด้
ระยะเวลาที่เป็นตัวอ่อนใช้เวลาตั้งแต่ 4-5 วัน ไปจนถึงหลายสัปดาห์ขึ้นอยู่กับชนิดของยุงก้นปล่องและสภาพแวดล้อมที่มันอาศัยอยู่
ระยะเป็นดักแด้
ดักแด้ของยุงก้นปล่องมีรูปร่างเหมือนจุลภาค มีส่วนหัวและอกที่โต ส่วนท้องแบ่งออกเป็น 8 ปล้อง มีความต้องการอากาศสำหรับหายใจแต่ไม่ต้องการอาหาร และจะกลายเป็นตัวแก่ในระยะเวลาประมาณ
2-3 วัน
ระยะตัวแก่
ตัวแก่ของยุงก้นปล่องจะมีจุดสีดำแต้มอยู่บนปีกเป็นหย่อม ๆ ส่วนใหญ่จะออกหากินในเวลากลางคืน
2.
ยุงลาย (Aedes)

ภาพที่10.2
แสดงวงจรชีวิตยุงลาย
ยุงลายเป็นยุงที่อยู่ในกลุ่ม Culicine ในสกุล Aedes เป็นสาเหตุของโรคหลายอย่างเช่น โรคไข้เลือดออก
โรคไข้เหลือง โรคเท้าช้าง เป็นต้น
วงจรชีวิตของยุงลาย มี 4 ระยะ
ระยะเป็นไข่
ไข่ของยุงลายจะอยู่กันแบบฟองเดี่ยว มีรูปร่างคล้ายกระสวยมีความทนทานต่อความแห้งแล้ง
อาจอยู่ได้นานเป็นเดือน จนกว่าจะมีน้ำซึ่งอาจมีเพียงเล็กน้อยก็จะทำให้มันแตกตัวออกมาเป็นตัวอ่อน
ระยะเป็นตัวอ่อน
ตัวอ่อนของยุงลายมักอาศัยตามแหล่งน้ำขังชั่วคราวหรือน้ำนิ่งที่มีความใสสะอาด เช่นแจกัน
โอ่งน้ำ เป็นต้น ต้องการอากาศหายใจโดยมีท่อหายใจแบบ siphon ขนาดสั้นอยู่ที่ช่วงท้อง
ปล้องที่ 8 มีการเปลี่ยนแปลงเป็น 4 ระยะเหมือนยุงก้นปล่อง
ระยะดักแด้
เป็นระยะที่ไม่กินอาหาร ต้องการอากาศหายใจโดยอาศัยท่อหายใจคล้ายรูปร่างแตรทรัมเปตแต่มีขนาดสั้น
ระยะตัวแก่
ตัวแก่ของยุงลาย จะมีลำตัว ท้อง และขามีลายดำสลับขาวยกเว้นที่ปีก ออกหากินในเวลากลางวัน
ออกหากินบริเวณใกล้แหล่งกำเนิดของมัน อาจบินได้ตั้งแต่ 100 ฟุต ถึง 300 ฟุต ตัวแก่ของมันอาจมีชีวิตยืนยาวประมาณ
4 เดือน
3.
ยุงรำคาญ (Culex)

ภาพที่10.3 ภาพลักษณะยุงรำคาญ
ยุงรำคาญหรือบางครั้งเรียกว่ายุงบ้าน
ซึ่งพบมีในโลกประมาณ 400
ชนิดเป็นยุงที่จัดอยู่ในกลุ่มคูลิซินีหรือคิวลิซินี(Culicini)
ในสกุลคิวเลกซ์ (Culex) ที่มีความสำคัญได้แก่ ยุง
Culex pipiens ยุง Culex fatigans เป็นต้น เป็นพาหะนำโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
(Encephalitis)และในประเทศไทยมีจำนวน 80 ชนิดหลายชนิดมีความสำคัญทางการแพทย์
ในการเป็นพาหะนำโรคไข้สมองอักเสบมาสู่มนุษย์ ลักษณะสำคัญของยุงรำคาญจะสังเกตได้
โดยยุงตัวเมียมีส่วนรยางค์ของปาก คือ maxillary palp ซึ่งมีความยาวเพียงครึ่งหนึ่งของความยาวของงวงดูดเลือด
ขอบด้านท้ายสุดของส่วนอกด้านหลังจะหยักแยกออกเป็น 3 พูชัดเจนปลายส่วนท้องมีลักษณะทู่และปกคลุมด้วยเกล็ดแบนราบติดกับ
ผนังลำตัวโรคไข้สมองอักเสบมียุงรำคาญเป็นพาหะนำโรค มักแพร่พันธุ์ในทุ่งนา
อาศัยตามแหล่งน้ำสกปรก
วงจรชีวิตของยุงรำคาญ มี 4 ระยะ
ระยะเป็นไข่
ไข่ของยุงรำคาญมีรูปร่างคล้ายตอร์ปิโด เช่นเดียวกับไข่ยุงลายปลายข้างหนึ่งจะมีปลอกคล้ายหมวกแก๊ปหรือถ้วยครอบอยู่โดยใช้ส่วนนี้แตะกับผิวน้ำในขณะที่ลอยอยู่ในน้ำ
ไข่ไม่ค่อยทนต่อความแห้งแล้ง ในระยะ 2-3 วันจะแตกตัวเป็นตัวอ่อน
ระยะเป็นตัวอ่อน
ตัวอ่อนของยุงรำคาญมีท่อหายใจแบบ siphon ที่ยาวเรียวและมีกระจุกขนขึ้นอยู่ด้านล่างของท่อหายใจหลายจุก
ตัวอ่อนไม่จับเหยื่อเป็นอาหาร
ระยะเป็นดักแด้
ดักแด้คล้ายกันกับยุงลาย
ระยะเป็นตัวแก่
ตัวแก่ของยุงรำคาญลำตัวจะมีสีดำหรือสีน้ำตาลอ่อน ปีกลำตัวหรือขาหรือส่วนอื่น ๆของร่างกายไม่มีจุดหรือแต้มที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
นอกจากมองผ่านแว่นขยาย ในขณะดูดเลือดจะมีส่วนของลำตัวขนานกับพื้นผิว ส่วนใหญ่ออกหากินในเวลากลางคืนเพราะไม่ชอบแสงสว่าง
4.
ยุงเสือ (Mansonia)

ภาพที่10.4 ภาพลักษณะยุงเสือ
ยุงเสือหรือบางทีเรียกว่ายุงป่าเพราะมีความดุร้าย
จะดูดกินอย่างหิวกระหายอยู่ตลอดเวลา จัดอยู่ในสกุลแมนโซเนีย (Mansonia) เป็นพาหะนำโรคเท้าช้าง ซึ่งยุงเสือนี้ถือเป็นโฮสต์กึ่งกลางของหนอนพยาธิ
Brugia malayi และ Wuchereria brancrofti ที่ทำให้คนเกิดโรคเท้าช้าง
นอกจากนี้ยังทำให้เกิดโรคไข้เหลือง และไข้สมองอักเสบ ยุงในสกุลนี้ที่มีความสำคัญได้แก่
Mansonia uniformis, Mansonia bonnae, และ Mansonia annulata
เป็นต้น
วงจรชีวิตของยุงเสือ มี 4 ระยะ
ระยะเป็นไข่
ไข่ของยุงเสือมีลักษณะคล้ายกระสวยรวมเป็นแพติดอยู่กับวัชพืช มักอยู่ใต้ท้องใบของพืชหรือลอยอยู่เหนือน้ำ
ระยะเป็นตัวอ่อน
ตัวอ่อนของยุงเสือมีความต้องการอากาศหายใจโดยผ่านท่ออากาศที่ถูกดัดแปลงให้สามารถเจาะพืชหรือรากพืชและรับอากาศจากพืชที่เกาะติดอยู่
จึงไม่ต้องลอยสู่ผิวน้ำเพื่อหายใจ แต่การลอกคราบเป็นดักแด้ต้องลอยขึ้นเหนือผิวน้ำ
ระยะเป็นดักแด้
ดักแด้ของยุงเสือคล้ายกับดักแด้ของยุงชนิดอื่น เพียงแต่มีความแตกต่างกันตรงที่สามารถเจาะพืชหรือรากพืชและรับอากาศจากพืชที่เกาะติดอยู่
จึงไม่ต้องลอยสู่ผิวน้ำเพื่อหายใจ
ระยะเป็นตัวแก่
ตัวแก่ของยุงเสือมีสีดำหรือสีน้ำตาล ลำตัวและขามองดูเป็นแถบสลับสีเข้มและจางเกิดจากเกล็ดสีขาวและสีดำ
มีเกล็ดคล้ายหัวใจกระจายอยู่ที่ปีกของยุง มักออกหากินตอนกลางคืน ส่วนใหญ่ออกหากินนอกบ้าน
แต่ก็อาจหากินในบ้านที่พักอาศัยได้
การควบคุมและป้องกันยุง
การควบคุมไม่ให้มียุงเกิดขึ้นในโลกเลยถือว่าเป็นเรื่องที่ทำได้ยากหรืออาจกล่าวได้ว่าไม่สามารถทำได้
อาจเป็นเพราะว่ายุงมีการแพร่พันธุ์ได้ง่ายและครั้งละปริมาณมาก และชอบออกหา กินตอนกลางคืนเป็นส่วนใหญ่
จึงทำให้การดำเนินการกำจัดไม่ให้มียุงนั้นเป็นไปไม่ได้ จึงกระทำได้เพียงควบคุมไม่ให้มียุงปริมาณมากและป้องกันไม่ให้ยุงกัด
ซึ่งมีวิธีการดังต่อไปนี้
1.
การควบคุมยุงในบ้านหรือที่พักอาศัย
คือการที่ป้องกันไม่ให้มีแหล่งเพะพันธุ์ของยุงภายในตัวที่พักอาศัย
ซึ่งแหล่งที่มักพบการเพาะพันธุ์ของยุงได้แก่ถังเก็บน้ำ โอ่งน้ำ ขวดน้ำ แจกัน ขารองตู้กับข้าว
ถาดรองกระถางต้นไม้ เป็นต้น นอกจากนี้ต้องมีการควบคุมไม่ให้มียุงเข้ามาในบ้านได้แก่การติดมุ้งลวด
การใช้ยาฆ่าแมลงเพื่อไม่ให้ยุงมารบกวน
2.
การป้องกันยุงบริเวณบ้านหรืออาคารที่พักอาศัย
บริเวณอาคารหรือที่พักอาศัยอาจเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงซึ่งเป็นพาหะนำโรคมาสู่เรา
ดังนั้นจึงต้องมีการควบคุมไม่ให้มียุงหรือมีน้อยที่สุด ได้แก่ การคว่ำภาชนะทุกชนิดที่ยุงจะสามารถวางไข่ได้
มีการกำจัดขยะมูลฝอยบริเวณอาคารหรือที่พักอาศัยให้สะอาด ภาชนะที่ใส่น้ำไม่ว่าจะเป็นโอ่งน้ำ
ถังน้ำ ต้องมีฝาปิดให้มิดชิด หรือถ้าเป็นสระน้ำหรือบ่อน้ำสวนหย่อมในอาคาร อาจเลี้ยงปลาหางนกยุงเพื่อกินลูกน้ำก็ได้
นอกจากนี้อาจใช้ยาฆ่าแมลงช่วยเพื่อกำจัดและไล่ยุงไม่ให้เข้ามาในบริเวณอาคารหรือที่พักอาศัย
3.
การป้องกันและควบคุมยุงในชุมชน
การป้องกันยุงในชุมชนนั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่ง
เพราะยุงสามารถบินได้ไกลจากแหล่งกำเนิดของมัน ถ้าไม่ร่วมมือกัน ทั้งชุมชนก็ไม่สามารถที่จะลดจำนวนของยุงได้ซึ่งที่เพาะพันธุ์ของยุงในชุมชนได้แก่
หนอง คลอง บึงแม่น้ำ ลำธาร เป็นต้น ซึ่งชุมชนต้องมีการถ่ายเทและไหลเวียนน้ำเป็นประจำเพื่อไม่ให้ยุงวางไข่ได้
สำหรับแหล่งน้ำที่มีขนาดใหญ่ เช่น เขื่อนชลประทาน อ่างเก็บน้ำ เป็นต้น จะต้องมีประตูน้ำเพื่อการปรับระดับน้ำในแหล่งน้ำไม่ให้เกิดน้ำนิ่ง
ถ้าแหล่งน้ำไม่มีการนำมาใช้ประโยชน์ ต้องทำการถมเพื่อไม่ให้มีน้ำขัง นอกจากนี้ระบบประปาในชุมชนต้องป้องกันไม่ให้เกิดการรั่วซึมของท่อ
เพื่อไม่ให้เกิดการเฉอะแฉะเป็นที่เพาะพันธุ์ของยุง
8.4 แมลงวัน (Flies)

ภาพที่10.5 ภาพลักษณะแมลงวัน
แมลงวันจัดอยู่ใน Phylum Arthropoda
จัดอยู่ใน Class Insecta Order Diptera และ
Suborder Cyclorrhapha มีการเจริญเติบโตเป็น 4 ระยะ เช่นเดียวกับยุง คือ ระยะ ไข่ ตัวอ่อน ดักแด้ และตัวแก่ ถ้าอยู่ในสภาวะที่เหมาะสมแมลงวันจะวางไข่ครั้งละ
100-150 ฟอง แมลงวันมีปาก 2 แบบคือ แบบที่ใช้ดูด
ได้แก่แมลงวันคอก และแบบที่ใช้ขูดหรือครูด ได้แก่แมลงวันบ้าน เป็นต้น แมลงวันที่เป็นปัญหาต่อการสาธารณสุขคือแมลงวันบ้าน
และแมลงวันหัวเขียว
1.แมลงวันบ้าน ( House Flies )

ภาพที่10.6 ภาพวงจรชีวิตของแมลงวันบ้าน
แมลงวันบ้าน (House fly) มีชื่อสามัญ “common house fly” และชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Musca domestica เป็นแมลงที่พบได้ทั่วโลกยกเว้นบริเวณที่มีอากาศหนาวจัด
ซึ่งเป็นพาหะนำโรคหลายชนิด ได้แก่อหิวาตกโรค ไข้รากสาด บิด เป็นต้น และเป็น Intermediate
host ของหนอนพยาธิบางชนิด ซึ่งแมลงวันนำเชื้อโรคมาสู่คนได้โดย
การสำรอกน้ำย่อยและน้ำลายออกมาปนเปื้อนอาหารของมนุษย์
จึงทำให้เป็นโรคในประเทศไทยพบแมลงวันบ้านมีการกระจายตัวทุกพื้นที่ พบมากในฤดูร้อนตามกองขยะมูลฝอย คอกสัตว์
ตามร้านค้า และอุจจาระสัตว์ เป็นต้น
ในคอกสัตว์สามารถพบแมลงวันบ้านได้
เช่น ตามคอกไก่ คอกสุกร
คอกวัว และคอกควาย เป็นต้น
เพราะมีเศษอาหารตกหล่นบนพื้นคอกและมีกองอุจจาระสัตว์บริเวณใกล้คอก แมลงวันเหล่านี้รบกวนสัตว์ตลอดเวลา ทำให้สัตว์ไม่สามารถพักผ่อนได้เต็มที่ ส่งผลให้ได้ผลผลิตจากสัตว์ที่น้อยลงไปด้วย
ตัวเต็มวัยของแมลงวันบ้านมีขนาด
5-8 มิลลิเมตร ตาสีแดง ส่วนอกมีสีเทาและมีเส้นตามยาวสีดำ 4 เส้น
ส่วนท้องมีสีน้ำตาลเหลืองและมีเส้นตามยาวตรงกลางสีดำ แมลงวันบ้านที่พบมากที่สุดคือ Musca
domestica
วงจรชีวิตของแมลงวันบ้าน
ระยะเป็นไข่
แมลงวันบ้านมักจะวางไข่ตามมูลสัตว์ สิ่งปฏิกูล มูลฝอยเปียก น้ำเสีย และสารอินทรีย์เน่าเปื่อยอื่น
ๆ ไข่มีรูปร่างเป็นวงรี สีขาวนวล ขนาดประมาณ 1 มิลลิเมตร ถ้าหากอากาศอบอุ่นจะแตกตัวออกเป็นตัวอ่อนภายใน
1/2-1 วัน
ระยะตัวอ่อน
ตัวอ่อนของแมลงวันบ้านมีรูปร่างทรงกระบอกปลายข้างหนึ่งเป็นรูปกรวย ยาวประมาณ10-12 มิลลิเมตร ตัวอ่อนลอกคราบ 3 ครั้ง ถ้าอากาศอบอุ่นภายในเวลา
4-7 วัน มันจะคลานออกมาจากสิ่งปฏิกูลตกลงสู่พื้นกลายเป็นดักแด้
ระยะดักแด้
ดักแด้ของแมลงวันบ้านมักอยู่ในที่สงบ เช่น ในดิน กองเศษไม้ใบหญ้า เป็นต้น ไม่มีการเคลื่อนไหวไปไหน
อายุการเป็นดักแด้ขึ้นอยู่กับภูมิอากาศ ถ้าอากาศอบอุ่นเป็นเวลา 3 วันก็จะลอกคราบกลายเป็นดักแด้ แต่ถ้าอากาศเย็นอาจนานถึง 26 วัน จึงจะกลายเป็นตัวแก่
ระยะตัวแก่
ตัวแก่ของแมลงวันบ้านตัวผู้มีลำตัวยาวประมาณ 5.8-6.5 มิลลิเมตร ตัวเมียยาวประมาณ
6-9มิลลิเมตร มีสีเทาหม่น มีหนวดเส้นเล็ก ๆ 2 เส้น
สำหรับรับความรู้สึก มีปีก 2 คู่ มีลักษณะใสไม่มีเกล็ด มีขา
3 คู่ส่วนท้องและอกมีสีเหลืองปนเทา มีรอยเส้นตามยาวแคบ ๆ อยู่
4 เส้น สามารถบินได้ไกลจากแหล่งกำเนิดในระยะประมาณ 6 ไมล์ ภายใน 24 ชั่วโมง แต่โดยทั่วไปมักบินวนหากินในระยะ
100-500 เมตร ตัวแก่ของแมลงวันบ้านมีอายุประมาณ 1 เดือน
2.
แมลงวันหัวเขียว (Blow Flies)

ภาพที่10.7 ภาพแมลงวันหัวเขียว
มี 2 พันธุ์ คือแมลงวันหัวเขียวที่มีสีของลำตัวเป็นเขียวมันแวววาว
(Chrysomyia) และอีกพันธุ์หนึ่งมีสีของลำตัวเป็นสีน้ำเงินเงาและวาว
(Calliphora) แมลงวันหัวเขียวจะวางไข่บนสิ่งสกปรกเน่าเหม็น เช่น ซากสัตว์
ในช่วงชีวิตของมันสามารถวางไข่ได้ประมาณ1,000-3,000 ฟอง โดยวางไข่ครั้งละ
50-150 ฟอง มีการแพร่พันธุ์ได้ 9-10 ครั้งตัวแก่มีอายุ
ประมาณ 1 เดือน
วงจรชีวิตของแมลงวันหัวเขียว
ระยะเป็นไข่
แมลงวันหัวเขียวจะวางไข่เป็นกระจุกหรือเป็นกลุ่มบนซากสัตว์ หรือ บางครั้งอาจพบในเนื้อสด
ไข่จะมีสีเหลืองอ่อน ภายในเวลา 8 ชั่วโมง ถึง 3 วัน จะแตกออกมาเป็นตัวอ่อนระยะตัวอ่อน มีขนาดความยาวประมาณ 10-14 มิลลิเมตร มีสีเทาปนเหลือง ด้านหน้าสุดจะมีตาขออยู่ 1 คู่ส่วนท้ายของลำตัวมีลักษณะเป็นป้านและกว้าง ตัวอ่อนของมันแบ่งเป็น
2 กลุ่ม คือ มีขน และไม่มีขน ใช้เวลา 2-19วัน ขึ้นกับอุณหภูมิ
จึงจะกลายเป็นดักแด้โดยการตกลงสู่พื้นแล้วชอนไชหาสถานที่แห้งแล้งทำการฝังตัวใต้ดินระยะดักแด้
ดักแด้ของแมลงวันหัวเขียวมีลักษณะคล้ายตัวอ่อน แต่มีขนาดใหญ่กว่า ปลาย 2 ข้างมีลักษณะมน
ระยะตัวแก่
ตัวแก่ของแมลงวันหัวเขียวมีความแตกต่างกันตามสกุล และชนิด แต่โดยทั่วไปส่วนอกและส่วนท้องมีสีน้ำเงินหรือสีเขียวเหลือง
บางชนิดอาจมีสีเขียวปนโลหะ หรือสีบรอนซ์ แวววาว
3.
แมลงวันลายเสือ (Sacophaga)
ลักษณะลำตัวมีสีเทาแถบสีดำบนส่วนอก 3 แถบ ที่ส่วนท้องจะมีลายหมากรุกขนาดตัวแก่ 10 – 16 มม.
ไม่วางไข่แต่ไข่จะฟักเป็นตัวหนอนในท้องแล้วออกลูกเป็นตัวหนอนครั้งละ
2 – 3 ตัว

ภาพที่10.8 ภาพแมลงวันลายเสือ
การควบคุมและป้องกันแมลงวัน
แมลงวันเป็นพาหะนำโรคร้ายแรงหลายชนิดมาสู่มนุษย์
และนำสิ่งสกปรกมาปนเปื้อนอาหารโดยขาของมัน จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีการควบคุมและป้องกันการแพร่กระจายของแมลงวัน
ซึ่งมีหลักการดังต่อไปนี้การควบคุมแมลงวันภายในอาคารและที่พักอาศัย
1.
การปรับปรุงสุขาภิบาลและสิ่งแวดล้อม โดยการกำจัดมูลฝอยและสิ่งปฏิกูลภายในอาคารและที่พักอาศัยให้สะอาด
เช่น ถังขยะภายในห้องครัวของบ้านหรืออาคารควรมีฝาปิดให้มิดชิดไม่รั่วซึม
2.
การใช้กลวิธีทางกายภาพ เช่น ประตูหน้าต่าง ต้องมีตระแกรงหรือมุ้งลวดไว้เพื่อไม่ให้แมลงวันเข้าบ้าน
ทำลายโดยใช้กาวดักแมลงวันตัวแก่ หรือในห้องครัวต้องมีตู้หรือฝาชีครอบอาหารเพื่อป้องกันแมลงวันเป็นต้น
3.
การใช้วิธีทางเคมีโดยการใช้ยาฆ่าแมลงวันตัวอ่อน และตัวแก่ เช่น
0.1% ของไพรีทัมผสมกับ 1% ของมาลาไทออน
4.การกำจัดแมลงวันตัวแก่ โดยการใช้กับดักจับแมลงวัน ใช้กาวดักแมลงวัน
หรือใช้สารเคมีพวกmalathaion diazenon DDVP โดยให้มีความเข้มข้นตามที่ระบุไว้ในฉลาก
5.การบำรุงรักษาความสะอาดในสถานที่ต่าง ๆ เช่นการดูแลรักษาความสะอาดของร้านอาหารให้สะอาดเรียบร้อย
ไม่มีเศษอาหารที่เป็นตัวนำให้มีแมลงวัน
6.การมีระบบกำจัดสิ่งปฏิกูลที่ดี เช่นหลุมเก็บกักสิ่งปฏิกูลต้องปิดมิดชิดท่อระบายน้ำ
ควรมีตระแกรงครอบขนาด16 mesh เพื่อไม่ให้แมลงวันสามารถเข้าไปได้
8.5
แมลงสาบ (Cockroaches)

ภาพที่10.9 ภาพแมลงสาบ
แมลงสาบ (
Cockroaches) แมลงสาบจัดอยู่ใน Class Insecta , Oder
Blattaria, Family Blattidae ขนาดแตกต่างขึ้นกับชนิดของมัน ยาวตั้งแต่
10-50 มิลลิเมตร แมลงสาบที่พบและเป็นพาหะนำโรคมี 4 ชนิด ได้แก่แมลงสาบเอเชียหรือแมลงสาบตะวันออก แมลงสาบอเมริกัน แมลงสาบเยอรมัน
และแมลงสาบลายน้ำตาลแมลงสาบเอเชียหรือแมลงสาบตะวันออก (Oriental cockroach)พบได้ทั่วโลก มักอาศัยอยู่ตามฐานเขื่อน หรือใต้พื้นอาคาร ตัวยาวประมาณ
22-27มิลลิเมตร มีปีกสั้นบินไม่ได้ ตัวแก่มีสีน้ำตาลหรือดำ มีลายสีเหลืองและขาวบนส่วนอกและขอบด้านนอกของส่วนท้อง
วงจรชีวิตของแมลงสาบ
วงจรชีวิต (life cycle) ประกอบด้วย
3 ระยะ คือ ไข่ (egg), ตัวอ่อนหรือตัวกลางวัย (nymph),
และตัวเต็มวัย (adult) ตัวอ่อนจะมีรูปร่างลักษณะคล้ายตัวเต็มวัยมาก
ต่างกันที่ขนาด ปีก และอวัยวะสืบพันธุ์เท่านั้น แมลงสาบ วางไข่เป็นกลุ่ม
กลุ่มละหลายฟอง และจะเชื่อมติดกันเป็นกลุ่มด้วยสารเหนียวมีลักษณะเป็นแคปซูล
หรือกระเปาะ รูปร่างเหมือนเมล็ดถั่ว (ootheca) รูปร่างลักษณะของแคปซูลจะแตกต่างกับไปไม่แน่นนอนแล้วแต่ชนิดของ
แมลงสาบ แมลงสาบ
บางชนิดจะนำกระเปาะไข่ติดตัวไปด้วยจนไข่ใกล้จะฟักจึงปล่อยออกจากลำตัว
แต่บางชนิดอาจมีการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ (parthenogenesis) ก็ได้
ลักษณะ
การวางไข่ของ แมลงสาบ แตกต่างกัน บางชนิดจะวางไข่ตามซอกมุมหรือในดิน
หรืออาจจะวางติดกับฝาผนังบ้าน หรือเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ
จำนวนไข่ในแต่ละกระเปาะจะแตกต่างกันตามแต่ชนิดของ แมลงสาบด้วย โดยทั่วไปจะมีประมาณ
16/18 ฟอง แต่อาจจะวางได้หลายชุด บางชนิดอาจจะวางเพียง 4-6 ชุด
แต่บางชนิดอาจวางมากถึง 90 ชุด ก็ได้ อายุของไข่จะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับอุณหภูมิและความชื้น
ปกติไข่จะฟักได้เร็วในที่ๆมีอุณหภูมิสูง
ตัวอ่อนที่ฟักออกจากไข่ใหม่ๆจะมีสีขาวและไม่มีปีก มีการดำรงชีพแบบอิสระ (free living) เมื่อมีอายุได้ 3-4 สัปดาห์ ก็จะมีการลอกคราบเกิดขึ้น
การลอกคราบนี้จะเกิดขึ้นอีกหลายครั้งจนกระทั่งเป็นตัวเต็มวัย ใน แมลงสาบ
ที่มีปีกเกิดขึ้นมีลักษณะเป็นแผ่นเล็กๆอยู่ทางด้านข้างของอกปล้องที่ 2 และ 3
และจะค่อยๆมีขนาดใหญ่ขึ้นจนกระทั่งเจริญเต็มที่เมือเป็นตัวเต็มวัย

ภาพที่10.10 ภาพวงจรชีวิตของแมลงสาบ
1. แมลงสาบอเมริกัน (American cockroach)
พบมากที่สุดในประเทศไทย
มีความยาวประมาณ
1.5-2 นิ้ว ตัวแก่มีสีน้ำตาลแดงไปจนถึงน้ำตาลดำ ปกติบินไม่ได้แต่อาจบินได้ในระยะใกล้
ๆ อาศัยตามท่อระบายน้ำเสียอุโมงค์น้ำ ห้องน้ำห้องส้วม และห้องใต้ดินหรือใต้ถุนตึก มักอาศัยอยู่กันเป็นกลุ่มหรือเป็นกอง
2. แมลงสาบเยอรมัน (German cockroach)
เป็นแมลงสาบที่มีขนาดเล็กกว่า 2 ชนิดที่ได้กล่าวมาแล้ว มีขนาดความยาวประมาณ 1/2- 6/10 นิ้ว มีสีน้ำตาลแก่มีแถบสีน้ำตาลอ่อนบนส่วนอก 2 แถบ มีตาขนาดใหญ่
มีแส้ 1 คู่มักอาศัยอยู่ใกล้ชิดมนุษย์ในที่ที่มีความอบอุ่นและความเปียกชื้น
เช่น ในห้องครัว ตู้เสื้อผ้า เป็นต้น
3.แมลงสาบลายน้ำตาล (Brown-banded cockroach)
พบได้ทั่วโลก
มักอาศัยอยู่ในเขตอบอุ่น มีขนาดเล็กประมาณ 1-1.25 นิ้ว มีสีน้ำตาลแดงอ่อน
พบได้ทุกแห่งของบ้าน เป็นแมลงสาบที่ค่อนข้างเกียจคร้านวงจรชีวิตของแมลงสาบวงจรชีวิตของแมลงสาบมี
3 ระยะ คือ ระยะเป็นไข่ ระยะเป็นตัวอ่อน และระยะเป็นตัวแก่ ไข่ของแมลงสาบจะอยู่ในแคปซูลเรียก
“ oothecae “ มักเก็บไข่ไว้ในสถานที่อบอุ่น แมลงสาบสามารถกินอาหารได้ทุกชนิด
ได้แก่เมล็ดพืช แป้ง ไขมัน ขนม สิ่งปฏิกูล ซากสัตว์ กระดาษ กาว เลือดแห้ง เสมหะ เป็นต้น
และในระหว่างที่มันกินอาหารมันจะสำรอกเอาของเหลวสีน้ำตาลออกมาปนเปื้อนกับอาหารทำให้มีกลิ่นเหม็น
มักออกหากินในเวลากลางคืนและไม่ชอบแสงสว่าง
การควบคุมและป้องกันแมลงสาบ
แมลงสาบก็เป็นพาหะนำโรคเช่นเดียวกับแมลงวันและยังทำให้เกิดการปนเปื้อนสิ่งสกปรกสู่อาหารที่มนุษย์ต้องการใช้บริโภค
รวมถึงทำความเสียหายให้แก่ เครื่องใช้ เสื้อผ้า ข้าวของต่าง ๆ เป็นต้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดำเนินการควบคุมและป้องกันแมลงสาบ
ซึ่งมีวิธีดังต่อไปนี้
1.
การป้องกันไม่ให้แมลงสาบเข้าสู่ตัวอาคาร
-การมีมุ้งลวดหรือตระแกรงป้องกันไม่ให้แมลงสาบเข้ามา
-
ใช้ไพเรธิน ฉีดพ่นตามแนวผังและพื้นรอบผนังนอกบ้าน
2.
การควบคุมและกำจัดแมลงสาบภายในอาคารหรือที่พักอาศัย เช่น การใช้กาวดักแมลงสาบ
ใช้ยาฆ่าแมลง การซ่อมแซมรอยรั่วของบ้านเรือนเพื่อทำลายแหล่งที่อยู่ของแมลงสาบ การเก็บสิ่งของหรืออาหารให้มิดชิด
- ใช้กับดัก
- ใช้สารเคมีพวกคาร์บาเมต ออกาโนฟอสเฟต
-
กำจัดไข่แมลงสาบ โดยการเผาทิ้ง
- ทำลายแหล่งอาหารของแมลงสาบ โดยการการกำจัดเศษอาหารลงในถังขยะปิดมิดชิด
- ทำความสะอาดรางระบายน้ำและห้องส้วม
-
จัดเก็บอาหารที่ปรุงเสร็จแล้วให้มิดชิด
- อาหารที่รับประทานไม่หมดไม่ควรวางทิ้งไว้ หรือเก็บไม่มิดชิด
8.6
เห็บ (Ticks )

ภาพที่10.11 ภาพวงจรชีวิตของเห็บ
เห็บเป็นปรสิตชนิดใช้ปากดูดเลือดมนุษย์และสัตว์
อยู่ใน
Class Arachnida มีลักษณะแตกต่างจากแมลงคือ ลำตัวแบ่งออกเป็น
2 ส่วน คือ ส่วนหัวและส่วนอกรวมกันเป็นส่วนเดียว เรียกว่า
Cephalothorax และมีส่วนท้องแยกจากกัน บางชนิดมีส่วนหัว ส่วนอก และส่วนท้องติดกัน
ไม่มีหนวด มีขา 4 คู่ รูปร่างค่อนข้างกลม
วงจรชีวิตของเห็บ
มี 3 ระยะ คือ ระยะเป็นไข่ ระยะเป็นตัวอ่อน และระยะเป็นตัวแก่ กินเวลาประมาณ
2-3 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่มันอยู่ เห็บทุกตัวก่อนที่จะผสมพันธุ์กันจะต้องเกาะดูดเลือดโฮสต์เสียก่อน
แล้วจึงไปวางไข่นอกโฮสต์ ส่วนใหญ่วางไข่บนดิน การวางไข่ของเห็บบางชนิดจะวางไข่ติดต่อกันหลายสัปดาห์จนไข่หมด
จะวางไข่ได้หลายพันฟองโดยเฉพาะเห็บแข็ง เมื่อวางไข่หมดแล้วก็จะตาย ส่วนเห็บอ่อนจะวางไข่หลายครั้ง
ๆ ละประมาณ90-100 ฟอง ไข่เห็บจะถูกเคลือบด้วยขี้ผึ้งป้องกันการระเหยของน้ำและทำให้ไข่เกาะกลุ่มกัน
การควบคุมและป้องกันเห็บ
การควบคุมและป้องกันเห็บ
ทำได้โดยการตัดวงจรชีวิตของมัน ได้แก่ การแยกโฮสต์ออกจากเห็บ การทำความสะอาดคอกเลี้ยงสัตว์
การทำลายวัชพืชในคอกสัตว์ การใช้ยาฆ่าแมลง เช่น ใช้ผงมาลาไทออน 4 % ทำความสะอาดเสื้อผ้าอยู่เสมอ เป็นต้น
8.7 หนู(Rat)

ภาพที่10.12 ภาพหนูชนิดหนึ่ง
หนูเป็นสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนม
อยู่ใน
Oder Rodentia มีวงจรชีวิต 3-4 เดือน มีฟันแหลม
2 คู่ ซึ่งฟันของหนูจะมีการงอกอยู่ตลอดเวลา หนูมีการแพร่พันธุ์อย่างรวดเร็ว
ซึ่งอายุประมาณ 3-4 เดือนก็สามารถแพร่พันธุ์ได้หนูเป็นสัตว์แทะที่ชอบออกหากินในเวลากลางคืน
ซึ่งหนูที่มีความสำคัญต่อสุขภาพอนามัยของมนุษย์มี 3 ชนิดคือ หนูนอรเวย์
หนูหลังคา และหนูหริ่ง ซึ่งหนูเป็นสัตว์ที่นำโรคมาสู่มนุษย์ เช่น กาฬโรค มูรีนไทฟัสSalmonellosis
นำเชื้อโรค Leptospirosis ไข้หนูกัด (
rat-bite fever ) นอกจากนี้ยังปล่อยของเสีย ทำให้เป็นแหล่งของพยาธิด้วย
เป็นต้น
1.
หนูนอรเวย์ (Norway rat หรือ Rattus
norvegicus )
เป็นหนูที่มีขนาดใหญ่
มีจมูกป้าน ส่วนหางยาวประมาณ 15-22 เซ็นติเมตร ลำตัวอ้วนมีน้ำหนักมากกว่าหนูหลังคา
ตาและจมูกเล็ก มีขนหยาบสีน้ำตาลปนเทา ส่วนท้องสีเทาอาศัยตามรูที่ขุดไว้ในดิน หรือช่องว่างตามผนังและพื้น
2.
หนูหลังคา (Roof rat หรือ Rattus
rattus )
บางทีเรียกหนูท้องขาวเพราะมีขนสีขาวปนเทาหรือครีมใต้ท้อง
มีจมูกแหลม ตาและหูใหญ่กว่า หนู
นอรเวย์
ลำตัวเพรียว หางยาว
18.8 เซ็นติเมตร จะยาวกว่าส่วนหัวและลำตัวรวมกัน มักอาศัยตามช่องว่างหลังคาหรือเพดาน
อาจทำรังอยู่นอกบ้านตามใบไม้ใบหญ้า
3.
หนูหริ่ง (House mouse หรือ Mus
musculus)
เป็นหนูที่มีขนาดเล็กที่สุด
มีน้ำหนักตัวประมาณ
10-15 กรัม ส่วนหัวและลำตัวยาวประมาณ 7.5 เซ็นติเมตร
หางจะยาวกว่าส่วนหัวและลำตัวรวมกันเล็กน้อย ขนด้านหลังมีสีเทาหรือสีเทาปนน้ำตาล ขนส่วนท้องมีสีขาว

ภาพที่10.13 ภาพแสดงลักษณะหนูชนิดต่างๆ
การควบคุมและป้องกันหนู
1.
การควบคุมป้องกันหนูในบ้านพัก ได้แก่ การเก็บอาหารให้มิดชิด
เก็บมูลฝอยที่เปียกในภาชนะที่ทนต่อการกัดแทะของหนู เก็บผ้า กระดาษ ในที่ที่หนูไม่สามารถกัดแทะได้
อุดรูรั่วผนังในที่พักอาศัยเพื่อทำลายที่อยู่ของหนู เป็นต้นนอกจากนี้อาจมีการสร้างเครื่องกีดขวางทางเดินของหนูตามสายไฟในที่พักอาศัย
หรือการติดตั้งมุ้งลวดบ้านพักก็สามารถช่วยป้องกันหนูได้
2.
การควบคุมป้องกันหนูในชุมชน ได้แก่ การออกกฎหมายหรือข้อบังคับ
เพื่อให้ประชาชนได้ตระหนักถึงการดูแลบ้านและสถานที่สาธารณะให้สะอาด สร้างเครื่องป้องกันหนู
ในโกดัง ร้านอาหาร โรงเรียนโรงพยาบาล เป็นต้น
3.การกำจัด โดย
-ใช้ยาฆ่าหนูในรูปของเหยื่อล่อ เช่น การใช้ แอนติโคแอกกลูแลนท์
ซึงเมื่อหนูกินเข้าไปเป็นระยะเวลาหลายวัน หนูก็จะตกเลือด และตายในที่สุด
-การใช้ Red Squill เป็นสารเคมีที่สกัดจากหัวของพืชตระกูลลิลลี่
คือ Urginea martima ใช้ได้เพียงครั้งเดียวและใช้ได้ผลกับหนูนอเวย์เท่านั้น
และจะตายอย่างรวดเร็ว การใช้Sodium Fluoroacetate และ Fluoroacetamide
ซึ่งสารฆ่าหนูทั้ง 2 ชนิดนี้สามารถฆ่าหนูได้ภายใน
2-3 ชั่วโมงหลังจากกินเข้าไป
โดยสารนี้จะทำให้หัวใจและระบบประสาทเกิดอัมพาต เป็นต้น
-ใช้กรงดัก กับดัก
-ใช้คลื่นเสียง

ภาพที่10.14 ภาพแสดงเครื่องไล่หนูชนิดใช้คลื่นความถี่
บรรณานุกรม
Wikipedia:
www.wikipedia.com
US
Centers for Disease Control: http://www.cdc.gov/
WHO.
Public Health Significance of Urban Pests. WHO, Copenhagen, 2008.
European
Centre for Disease Prevention and Control: http://ecdc.europa.eu/
WHO.
A global brief on vector-borne diseases. WHO, Geneva, 2014.
10.8 กิจกรรมสำรวจ ควบคุม
ป้องกันแมลงและสัตว์นำโรคในที่พักอาศัย
กิจกรรมที่1.
กิจกรรมการรณรงค์กำจัดหนูในบ้านพัก,สถานที่ทำการ,สถานพยาบาล โดยการ
-วางแผนการดำเนินงานโดยทำผังควบคุมกำกับงาน
-อธิบายวิธีการกำจัด/ขับไล่/การจับ/ทำลายหนู/การใช้เครื่องมือ
-ร่างคำพูดที่จะใส่ในการทำป้ายแจ้งเตือน
กิจกรรมที่ 2.
กิจกรรมการฝึกกำจัดการกำจัดยุง/ลูกน้ำยุงในบ้านพัก,สถานที่ทำการ,สถานพยาบาล
-ดำเนินการสำรวจจำนวนภาชนะแหล่งน้ำขังภายในบ้านพัก,สถานที่ทำการ,สถานพยาบาล
-จัดเตรียมทรายอะเบท สำหรับใส่ในบ้านพักและห้องน้ำ,สถานที่ทำการ,สถานพยาบาล
-ติดตามประเมินผลจากสำรวจลูกน้ำยุงลายในบ้านพักและห้องน้ำ,สถานที่ทำการ,สถานพยาบาล
การตรวจสอบ อัตราการพบยุงคิดเป็นร้อยละ(HI)
= %
อัตราการพบภาชนะร้อยละ(CI) = %
อัตราส่วนบ้านต่อภาชนะร้อยละ(BI) = %
กิจกรรมที่3.
กิจกรรมการฝึกกำจัดการกำจัดแมลงวันในบ้านพัก,สถานที่ทำการ,สถานพยาบาล
- ดำเนินการสำรวจพื้นที่พบแมลงวันและกำจัด
- หนังสือขอรับการสนับสนุนในการจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ในการดักจับแมลงวัน
- ดำเนินการกำจัดแมลงวัน
การตรวจสอบ อัตราการพบแมลงวันคิดเป็น ร้อยละ %
10.9แบบฝึกหัดบทที่ 10
1.จงบอกวิธีการป้องกันและควบคุมสัตว์นำโรคต่อไปนี้ด้วยวิธีที่ได้ผลและมีความปลอดภัยต่อมนุษย์
ยุง
แมลงวัน
แมลงสาบ
เห็บ
หนู
นกพิราบ
ปลวก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น